บทที่ 607 เอารัดเอาเปรียบ
บทที่ 607 เอารัดเอาเปรียบ
ตอนที่ซูโส่วเวินได้ยินคำว่าหลินหลินสองพยางค์นี้ ในดวงตาก็ฉายแววมีความสุขออกมาครู่หนึ่ง ความสดใสในดวงตาของเขา ซูเสี่ยวเถียนก็สังเกตเห็นได้จึงลอบยิ้ม
แต่ซูโส่วเวินก็ไม่ได้พูดอะไร ทำแค่เพียงก้มหน้าแกล้งทำเป็นยุ่งเท่านั้น
อีกด้านหนึ่งฉีเหลียงอิงก็มองสำรวจซูซื่อเลี่ยง เมื่อแน่ใจว่าลูกชายไม่ได้ผอมลงก็พอใจ แต่ท่าทางของลูกชายดูเหนื่อยล้ามาก ในใจคนเป็นแม่ย่อมไม่สบายใจ
“ซื่อเลี่ยง ซานกงพวกลูกเดินทางมาเหนื่อย ๆ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปพักหน่อยเถอะ!”
สงสารลูกชายตัวเอง ก็ยังสามารถสงสารลูกชายคนอื่นได้เช่นกัน
ซูซานกงยิ้มขอบคุณฉีเหลียงอิง ทั้งยังบอกว่าการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นดี จึงไม่เหนื่อยมากนัก
ทุกคนล้วนเป็นคนหนุ่ม ตราบใดที่ทำเงินได้ แน่นอนว่าต้องรู้สึกไม่เหนื่อย ตอนนี้พวกเขาแทบอยากจะให้หนึ่งวันมีสี่สิบแปดชั่วโมงจะได้เอาเวลาไปหาเงิน
หลี่มู่มู่คาดไม่ถึงว่าที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือจะมีตลาดใหญ่แบบนี้ หลังจากมาครั้งหนึ่งจึงพบว่า ไม่อาจประเมินกำลังซื้อของที่ใดต่ำเกินไปได้ ตราบใดที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีคู่แข่งน้อย ก็ยังสามารถทำเงินได้มากมายเช่นกัน ตอนนี้เขาแทบรอไม่ไหวที่จะรีบไปหาเงิน
“เสี่ยวเถียน ระหว่างทางพวกเราคุยกันว่าวันนี้จะไปช่วยขายของ รถไฟกลับเมืองหรงเฉิงมีรอบค่ำ แต่ยังไม่ได้ปรึกษากันเลยว่าครั้งหน้าพวกเราต้องไปที่ไหน?”
ตอนกลางวันไม่ต้องเสียเวลาพักผ่อน ตอนค่ำค่อยไปหลับบนรถไฟก็ได้
“ครั้งหน้าพวกเรายังอยู่ที่เมืองจินหลานค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“เสี่ยวเถียน เธอแน่ใจนะ เมืองจินหลานมีสินค้าที่ใช้ได้มากขนาดนั้นเชียว?”
เขาคิดว่าหลังจากสินค้าชุดนี้ของเมืองจินหลานตลาดน่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต้องหาตลาดอื่นต่อ
“หนูคิดว่าตลาดของเมืองจินหลานยังใช้ได้อยู่ค่ะ ไว้หลังขายสินค้าได้สักสามชุดที่เมืองจินหลาน พวกเราค่อยไปที่เมืองไหวเฉิงเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูด
ซูซื่อเลี่ยงได้ยินซูเสี่ยวเถียนพูดเช่นนี้ก็พยักหน้ากล่าว “งั้นก็ได้ ช่วงปิดเทอมนี้ของพวกเรา มาทำการค้าที่เมืองจินหลานกับเมืองไหวเฉิงกัน”
เมืองที่ใหญ่ที่สุดของภาคตะวันตกเฉียงเหนือคือเมืองจินหลานกับเมืองไหวเฉิง ทำการค้าที่สองเมืองนี้รับประกันความปลอดภัยได้ค่อนข้างมาก
ฉืออี้หย่วนก็เห็นด้วยเช่นกัน
ฉีเหลียงอิงได้ยินพวกเราต้องการไปขายของไม่หยุดก็ปวดใจมาก
ลูกชายยังเรียนอยู่เลย ต้องมาลำบากทำงานหาเงินแล้ว การหาเงินมันสบายที่ไหน? ฉีเหลียงอิงไม่ใช่คนโง่ รู้ดีว่าลูกชายลำบากตอนนี้ ในอนาคตจะยิ่งดี จึงไม่ได้กังวลปัญหานี้
หลังจากกินอาหารง่าย ๆ แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป
ฉีเหลียงอิงกับสามียังไปจัดการร้านใหม่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตรงไปโรงงานใหญ่ ๆ เพื่อขายของ
ครั้งนี้สินค้าที่เอามามีเยอะมาก แต่ไม่ค่อยหลากหลาย สินค้าแปลกใหม่คุณภาพดีจึงดึงดูดคนได้เยอะ ที่เมืองจินหลานมีโรงงานใหญ่ ๆ อยู่หลายแห่งซึ่งหลายปีมานี้ผลประกอบการดีทีเดียว ค่าแรงของพวกคนงานจึงมีอยู่มากโข
ในมือมีเงินก็ต้องอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นอีกสักหน่อย
“สาวน้อย กระโปรงตัวนี้ขายยังไงหรือ สีสวยดีจัง”
หญิงสาวถือกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลไว้ในมือ ดวงตาเต็มไปด้วยความสนใจ
เอวของกระโปรงตัวนี้กับสีล้วนดีไปหมด เทียบกับกระโปรงของสหกรณ์ร้านค้าแล้วดูดีกว่ามาก เธอรู้สึกว่าหลังจากเห็นกระโปรงตัวนี้แล้ว คงไม่กลับไปมองกระโปรงของสหกรณ์ร้านค้าอีก
“พี่สาวคะผิวของพี่ดีมากเลย กระโปรงตัวนี้สีเหมาะกับผิวของพี่ที่สุดเลยค่ะ พี่ใส่แล้วต้องดูดีแน่นอน บอกตามตรงนะคะ ว่ากระโปรงตัวนี้เทียบกับในเมืองใหญ่ที่อื่นแล้วค่อนข้างแพง ถึงราคาจะแพงไปหน่อย แต่คุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนจีบปากจีบคอพูด
หญิงสาวถูกคำพูดของซูเสี่ยวเถียนทำให้รู้สึกเบิกบานใจ
“ในเมืองใหญ่เมืองอื่นมีคนซื้อกระโปรงแบบนี้เยอะไหม?”
“แน่นอนค่ะพี่สาว กระโปรงตัวละแปดสิบหยวน รับรองว่าพี่ไม่ขาดทุนแน่นอนค่ะ”
“แปดสิบ?” หญิงสาวลังเล
โรงงานของพวกเธอผลประกอบการดีมาก แต่เงินเดือนรวมกับโบนัสแล้วก็ประมาณแปดสิบหยวน กระโปรงตัวเดียวราคานี้ไม่แพงเกินไปหรือ?
“พี่สาวพี่ลองดูเนื้อผ้า และลองดูงานฝีมือนะคะ อีกอย่างกระโปรงตัวนี้พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ใส่ได้แล้ว ท่อนบนใส่เป็นเสื้อสเวตเตอร์หรือเสื้อคลุมกันหนาวก็ได้แล้วค่ะ ใส่ได้ทั้งสามฤดูกาลถือว่าไม่ขาดทุนเลยค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนรู้จักพูด
ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจซื้อกระโปรงตัวนี้
ซูเสี่ยวเถียนหยิบสร้อยคอที่มีจี้รูปน้ำเต้าซึ่งทำอย่างประณีตมาให้หญิงสาวดู
“พี่สาวลองดูสิคะ สร้อยคอเส้นนี้เหมาะกับกระโปรงตัวนี้เลย ดูดีมาก ๆ น้ำเต้าเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภมีความหมายที่ดีด้วยนะคะ!”
ไม่นานนักหญิงสาวก็ถือกระโปรงจากไป ทั้งยังซื้อสร้อยคอและกิ๊บติดผมไปด้วย ทั้งหมดเป็นสีฟ้าน้ำทะเล พอใส่ด้วยกันแล้วสวยจริง ๆ
ตอนที่หญิงสาวเดินไป ก็ไม่ได้รู้สึกว่าปวดใจที่จ่ายไปหนึ่งร้อยหยวนเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองซื้อได้ราคาถูก ตอนไปดูตัวสุดสัปดาห์นี้ หากสวมสิ่งนี้ไปต้องโดดเด่นสะดุดตาแน่นอน
ที่โรงงานด้ายขนแกะส่วนใหญ่เป็นคนงานหญิง ของที่พวกเขาเอามาส่วนใหญ่จึงเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง และนาฬิกาผู้หญิง รวมไปถึงเครื่องประดับที่ประณีตอื่น ๆ
ช่วงบ่ายยุ่งมาก ของที่เอามาขายได้เกือบหมดแล้ว จึงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ชิ้น ซูเสี่ยวเถียนและคนอื่นยุ่งมาตลอดทั้งเช้า ตอนนี้จึงทั้งเหนื่อยทั้งหิว
“พวกเรากลับไปที่พักก่อนเถอะ ระหว่างทางก็หาอะไรกินไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะไปโรงงานเครื่องจักรไม่ทัน” ฉืออี้หย่วนมองเวลาพลางพูด
คนอื่นก็พากันเห็นด้วย
ซูเสี่ยวเถียนทอดถอนใจที่ยุคสมัยนี้ไม่มีเดลิเวอรี่ รู้สึกไม่สะดวกจริง ๆ ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไม่มีเดลิเวอรี่ แม้แต่ข้าวกล่องก็ยังไม่มี ตอนที่ทุกคนเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว ก็กินก๋วยเตี๋ยวไปคนละชาม ก่อนจะตรงกลับไปยังที่พัก
เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงานก็รีบเดินไปโรงงานเครื่องจักรรอบหนึ่ง พวกเสื้อเชิ้ต ชุดสูท นาฬิกาผู้ชายแน่นอนว่าต้องเอาไปขาย แม้จะมีคำพูดที่กำไรจากผู้หญิงนั้นหาได้ง่าย แต่เงินของผู้ชายก็ปล่อยไปไม่ได้
ทุกคนรีบเอาห่อสินค้าสองสามห่อมาถึงที่โรงงานเครื่องจักร ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานหลายคนเดินผ่านมา มีคนซื้อนาฬิกาและวิทยุเครื่องหนึ่ง ตอนที่กลุ่มคนงานของโรงงานเครื่องจักรออกมาจากโรงงาน ธุรกิจของพวกเขาก็ขึ้นสู่จุดสูงสุด
ใครบอกว่าหากผู้ชายไม่ยินยอมจะจ่ายเงิน ก็ไม่มีทางจ่ายเงิน? ตอนที่ผู้ชายจ่ายเงิน เทียบกันแล้วยังมากกว่าผู้หญิงอีก พวกรองเท้าหนัง เข็มขัดหนัง สูท แจ็คเก็ต เสื้อเชิ้ต อย่างกับแจกฟรี เหตุผลสำคัญคือซูเสี่ยวเถียนให้พี่ชายของตัวเองกับฉืออี้หย่วนใส่เสื้อผ้าคนละแบบ
ต้องบอกว่าพวกเขาเป็นเหมือนไม้แขวนเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเสื้อผ้าแบบไหน พวกเขาใส่แล้วก็ล้วนดูดีทั้งนั้น เมื่อถึงเวลาที่ผู้คนกระจายตัวออกไปแล้ว สินค้าชุดที่สองก็ขายหมด
“เสี่ยวเถียน พวกเรายังต้องไปขึ้นรถไฟอีก ที่เหลือต้องพึ่งพวกเธอด้วย!”
รถไฟของพวกเขาคือรอบสี่ทุ่มสี่สิบนาที พวกเขารีบมาที่สถานีรถไฟ ตั๋วรถไฟก็ซื้อเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พอกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางพอดี
“รอถึงพรุ่งนี้ค่อยไปไม่ได้หรือ? วิ่งวุ่นไปมาแบบนี้มันเหนื่อยเกินไปนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนพูด
“ไม่เหนื่อย ๆ เสี่ยวเถียน ขอเพียงหาเงินได้จะไปเหนื่อยอะไรกัน?” ซูซื่อเลี่ยงพูด