บทที่ 609 ซูเหล่าเอ้อร์ต้องการอยู่ต่อ
บทที่ 609 ซูเหล่าเอ้อร์ต้องการอยู่ต่อ
ฉีเหลียงอิงม้วนแขนเสื้อขึ้น แล้วเริ่มลงมือล้างหมูสามชั้น
ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนเดินเข้ามา ก็พูดกับฉีเหลียงอิง “แม่รองคะ หมูสามชั้นนี่มีทั้งหมดสามสิบชั่ง ใช้ห่อเครื่องปรุงหนึ่งห่อก็พอค่ะ และพรุ่งนี้พวกเราจะได้เนื้อทั้งหมดสามสิบชั่งไว้ขายค่ะ!”
“มีเสี่ยวเถียนต้องขายออกแน่!” กับฉีเหลียงอิงพูดอย่างดีใจ
“…” ซูเสี่ยวเถียน
นี่เอาเธอเป็นสัตว์นำโชคหรือ?
ช่างเถอะ สัตว์นำโชคก็สัตว์นำโชค ถึงอย่างไรเมื่อหลายปีก่อนตัวเองก็เริ่มเป็นสัตว์นำโชคของตระกูลซูแล้ว
ฉีเหลียงอิงทำงานอย่างว่องไว เนื้อหมูสามชั้นก็ถูกล้างอย่างรวดเร็ว เธอวางเนื้อไว้บนเขียงหั่นแบ่งเป็นสี่ชิ้นใหญ่ ใส่ลงหม้อ เติมน้ำ และเริ่มทำอาหารตามที่ซูเสี่ยวเถียนบอกต่อมาก็ล้างไข่ เทียบกับการล้างเนื้อหมูสามชั้น ขั้นตอนการล้างไข่ไก่เยอะกว่ามาก
การทำความสะอาดไข่ไก่สามร้อยฟอง ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ช่วงนี้หลังจากรอเนื้อหมูสามชั้นผ่านน้ำครั้งแรกแล้ว ซูเหล่าเอ้อร์ก็ช่วยเปลี่ยนน้ำ วางถุงเครื่องปรุงรสและเริ่มทำอาหารต่อ
“ไข่ไก่เยอะขนาดนี้ล้างทำความสะอาดทีละฟองไม่ง่ายเลย!”
แม้ปากฉีเหลียงอิงจะพูดเช่นนั้น แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอวางไข่ไก่ลงไปในหม้อทีละฟอง หลังจากนั้นก็เติมน้ำ และเริ่มต้มไข่
“แม่รองคะ ไข่ไก่พวกนี้ต้องต้มด้วยค่ะ และยังต้องปอกไข่ทีละฟอง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย พวกเราน่าจะต้องใช้เวลาสักสองวันถึงจะเสร็จ ผ่านไปสองวันถ้าเหลือคุณคนเดียวจะต้องยุ่งเกินไปแน่ ๆ ค่ะ ควรจะจ้างคนมาช่วยอีกสักคนนะคะ!” ซูเสี่ยวเถียนเกลี้ยกล่อมฉีเหลียงอิง
พวกผู้หญิงในครอบครัวแต่ละคนล้วนมีนิสัยเหมือนกัน ซูเสี่ยวเถียนกลัวว่าฉีเหลียงอิงจะยอมให้ตัวเองลำบากเหนื่อยยากแต่จะไม่ยอมจ้างคน
ปากฉีเหลียงอิงบอกเห็นด้วย แต่ในใจกลับคิดว่าตัวเองคนเดียวยอมลำบากอีกสักหน่อย ก็ไม่ต้องจ้างคนแล้ว
ถึงอย่างไรคนก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี ซูเหล่าเอ้อร์เข้าใจภรรยาของตัวเองดีจึงกล่าว “ไม่อย่างนั้นเธอก็จ้างคน หรือไม่ฉันจะเลิกทำงานในฟาร์มหมู แล้วมาอยู่ช่วยเธอที่นี่”
ซูเสี่ยวเถียนได้ยินคำพูดของซูเหล่าเอ้อร์ก็ประหลาดใจ
อย่างไรซูเหล่าเอ้อร์ก็เป็นคนเรื่อยเฉื่อย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนที่จะรักภรรยาอย่างสุดจิตสุดใจ แต่คนเช่นนี้ในตอนนี้กลับแสดงออกว่ารักภรรยาอย่างสุดจิตสุดใจ
“พ่อรองคะ ถ้าคุณมาได้ก็ดีเลยค่ะ แม่รองอยู่คนเดียว พวกเราก็ไม่สบายใจ!” ซูเสี่ยวเถียนพูด
เธอคิดอยู่ตลอดว่าแม่รองอยู่ที่อำเภอคนเดียวไม่มีคนคุ้นเคย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เรียกได้ว่าตกที่นั่งลำบากแล้ว
“ตอนนี้ฟาร์มหมูก็อยู่ตัวแล้ว พ่อเธอก็ดูแลคนเดียวได้ ในชุมชนก็ยังมีคนอยู่อีกมาก แต่แม่รองของเธอทำให้ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ!” ซูเหล่าเอ้อร์พูด
“เรื่องนี้ก็ใช่ค่ะ เดี๋ยวคุณค่อยโทรกลับไปเลือกคนในชุมชนก็ได้ค่ะ” ก่อนหน้านี้ซูเสี่ยวเถียนยังไม่คิดมากถึงเพียงนี้
แต่เพราะโลกในยุคหลังมีผู้หญิงมากมายที่ใช้ชีวิตทำการค้าตัวคนเดียว แต่เธอลืมไปว่ามันเป็นช่วงหลังจากนี้เกือบสิบปี
เรื่องนี้ก็หารือกันเรียบร้อยแล้ว ซูเสี่ยวเถียนมองระดับความร้อนของไฟในหมูพะโล้แล้วพูด “พ่อรองคะตอนนี้ต้องใช้ไฟอ่อนทำอาหาร ใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงค่ะ”
ซูเหล่าเอ้อร์รีบทำตามความคิดที่ซูเสี่ยวเถียนบอก ทิ้งไฟส่วนหนึ่งออก ค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้ไฟอ่อนเพื่อทำน้ำแกงหมูพะโล้
ไม่นานกลิ่นหอมเฉพาะของหมูพะโล้ก็ลอยออกมาจากในหม้อ
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ซูเสี่ยวเถียนก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ
ของที่ระบบผลิตออกมาเป็นสินค้าคุณภาพดีจริงๆ สูตรนี้ดีกว่าสูตรหมูพะโล้ที่ออกมาของยุคหลังอีก
“กลิ่นหอมเป็นบ้า!” หลังจากสูดน้ำลายเข้าปาก ซูเหล่าเอ้อร์ก็พูด
“พ่อรองคะ หลังจากนี้พ่อรองต้องระวังคำพูดหน่อยนะคะ พวกเราจะทำการค้าแล้ว ต้องปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีไมตรีและมีความสุภาพค่ะ!”
แม้ซูเหล่าเอ้อร์จะคิดว่าซูเสี่ยวเถียนจริงจังเกินไป แต่พอมาคิดอย่างถี่ถ้วน ก็ดูเหมือนจะถูกต้องทีเดียว
“ได้ ฉันรู้แล้ว ต่อไปอย่างมากฉันจะไปช่วยงานที่หลังครัว”
“ส่วนใหญ่งานหลังครัวจะยุ่งช่วงเย็น เพราะอย่างนั้นช่วงกลางวันคุณต้องดูข้างนอกหน่อยนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหน้า
ตอนที่พวกเขาพูดคุยกัน ไข่ไก่ก็สุกแล้ว ฉีเหลียงอิงเอาที่กรองตักไข่ออกมาใส่ไว้ในอ่างน้ำเย็น หลังจากนั้นก็ล้างหม้อจนสะอาด เติมน้ำ ใส่ถุงเครื่องปรุง เริ่มต้มน้ำพะโล้
ซูเสี่ยวเถียนก็พาซูซื่อเลี่ยงไปเริ่มปอกไข่ไก่
สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดของไข่พะโล้คือการที่ต้องปอกเปลือกไข่ออกให้หมด เพื่อเวลาเอาไข่ไก่มาทำพะโล้รสชาติจะดีขึ้น
ไข่ไก่สามร้อยฟองต้องมาปอกเปลือกทีละฟอง เป็นขั้นตอนใหญ่จริง ๆ
ทั้งสี่คนในครอบครัวยุ่งอยู่นานกว่าจะทำเสร็จ
หลังจากพวกเขาปอกไข่ไก่เรียบร้อยแล้วตามที่ซูเสี่ยวเถียนบอก ก็วางลงไปในน้ำพะโล้ที่เริ่มต้มด้วยไฟอ่อน
“แม่รองคะ อีกสิบห้านาทีก็พอแล้วค่ะ เพื่อให้ได้รสชาติ คืนนี้จะแช่ไว้ในน้ำพะโล้ก็ได้ค่ะ”
“เสี่ยวเถียนเรื่องนี้ฉันรู้แล้ว อาหารพวกนี้จะทำเมื่อไหร่หรือ?”
ฉีเหลียงอิงมองไปที่ผักในตะกร้า รู้สึกใจคอเหี่ยวแห้งอยู่บ้าง นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วถ้าเอาผักพวกนี้มาทำพะโล้เกรงว่าต้องทำงานถึงเที่ยงคืน
“พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยมาทำพะโล้อีกทีดีกว่าค่ะ ผักรสชาติเข้าไปได้ง่ายด้วยค่ะ”
ซูเสี่ยวเถียนดูเวลาก็ดึกมากแล้วจริง ๆ เป็นเวลาเข้านอนแล้ว
ทำงานตัวเป็นเกลียวเช่นนี้ แม้แต่คนเหล็กก็ไม่อาจทนได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ล้วนไม่ใช่คนเหล็กด้วย
“คืนนี้ฉันกับแม่รองของพวกเธอจะอยู่ที่นี่ พวกเธอสองพี่น้องไปพักที่ที่พักเถอะ”
ซูเหล่าเอ้อร์เห็นไข่ไก่และเนื้อมากมายขนาดนี้ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่วางใจ ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าคืนนี้จะอยู่ที่นี่
“จะอยู่ที่นี่หรือครับ?” ซูซื่อเลี่ยงพูด “ไม่อย่างนั้นให้แม่กับเสี่ยวเถียนไปอยู่ที่ที่พักไหมครับ?”
“หลังจากนี้ พ่อกับแม่ของลูกจะต้องลงหลักปักฐานที่นี่ ทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะ?” ซูเหล่าเอ้อร์พูดอย่างเฉยเมย
ซูซื่อเลี่ยงครุ่นคิด เรื่องก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ซูเสี่ยวเถียนยังกำชับอีกสองสามประโยค ก่อนจะกลับไปยังที่พักกับซูซื่อเลี่ยง
ตอนที่เดินออกจากประตู ข้างนอกยังเห็นคนยืนอยู่หลายคน ทุกคนได้กลิ่นหมูพะโล้ลอยไปในอากาศ
“ลุงจู น้ำลายจะไหลแล้ว นี่บ้านใครกัน ทำอะไรอยู่ ดึกดื่นขนาดนี้ยังมาต้มเนื้อกิน”
ชายวัยสามสิบกว่าปีคนหนึ่งพูด
ซูเสี่ยวเถียนได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ รสชาติของหมูพะโล้นี้ หากเธอกล้าบอกว่าเป็นที่สอง คาดว่าคงไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว
เธอเองยังอดน้ำลายสอไม่ได้เมื่อได้กลิ่น
อีกทั้งคนในยุคสมัยนี้ เดิมทีโอกาสที่จะได้กินเนื้อก็มีไม่มากนัก
กลิ่นหมูพะโล้โชยไปไกลเป็นสิบลี้ถ้าต้านทานไหวก็แปลกแล้ว!
“ตาเฒ่าไม่ได้กินหมูพะโล้มาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังมีคนรู้วิธีทำหมูพะโล้แท้ได้แบบนี้!”
ชายที่ถูกเรียกว่าลุงจูกล่าว ในมือแกว่งพัดใบปาล์มอันใหญ่ขณะพูด
พูดไปลุงจูก็อดสูดหายใจเข้าจมูกไม่ได้ เนื้อนี่กลิ่นหอมจริง ๆ
“ลุงจูครับ คุณว่านี่บ้านใครกันดึกขนาดนี้ยังตะกละได้อีก?”
ชายหนุ่มพูด ราวกับต้องการรู้ว่าใครเป็นคนปรุงหมูพะโล้ ท่าทางเขาอยากจะรีบเข้าไปขอทันที ดึกขนาดนี้มาทำให้คนหิวจนนอนไม่หลับ ช่างไร้ศีลธรรมนัก!