บทที่ 615 ไม่เต็มใจ
บทที่ 615 ไม่เต็มใจ
ในช่วงทดลองการค้าสามวันแรก การค้าของร้านเซียงหลู่ดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสี่ยวเถียนเห็นว่าการค้าเป็นไปได้ด้วยดีก็โล่งใจ
แม้ในตอนแรกเธอจะอยากทำการค้าไข่พะโล้ แต่คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำจริง ๆ จะเป็นการค้าหมูพะโล้ แต่ก็ไม่เป็นไรตอนนี้ยังไม่มีอุปกรณ์ รอจนหาอุปกรณ์ได้เมื่อไรค่อยเริ่มทำการค้าไข่พะโล้
ซูเสี่ยวเถียนคิดว่ารอกลับไปที่เมืองหลวงแล้วไปสอบถามสักหน่อย หากในเมืองหลวงสามารถหาอุปกรณ์ได้ก็จะพิจารณาเรื่องการเปิดโรงงาน เธอคิดไว้แล้วว่าหากหาโรงงานที่เมืองหลวงไม่ได้ ก็จะลองไปถามอาว่าทางตอนใต้มีหรือไม่
หากทางตอนใต้ยังหาไม่ได้ ก็อาจไปขอความช่วยเหลือจากคริสติน่า
แม้ซูเสี่ยวเถียนและคริสติน่าจะไม่ได้ติดต่อกันมากนัก แต่ก็มีส่งข่าวกันบ้าง มีบางครั้งที่คริสติน่าถึงขั้นโทรมาหาด้วย มิตรภาพของผู้หญิงสองคนยังคงยืนยาวมาเช่นนี้
ตราบใดที่ไม่เกี่ยวกับความลับทางการค้า หรือความลับทางเทคนิค ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าน่าจะสามารถจัดซื้อได้ เรื่องบางส่วนต้องชิงลงมือทำแต่เนิ่น ๆ หากช้าเกินไปจะเสียโอกาสได้
ฉีเหลียงอิงที่หาเงินได้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันล้วนเหนื่อยยากเป็นอย่างมาก แต่ความเร็วในการหาเงินเร็วกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้ตอนเริ่มมาก
ฉีเหลียงอิงมีข้อดีที่ใหญ่ที่สุดคือ ตราบใดที่สามารถหาเงินได้ต่อให้ต้องยากลำบากเธอก็ไม่กลัว
ซูเหล่าเอ้อร์โทรกลับไปเพื่อบอกว่าต้องการอยู่มณฑลต่ออีกระยะหนึ่ง ขอให้หัวหน้าชุมชนการผลิตหาคนมาอีกคนเพื่อช่วยซูเหล่าต้าดูแลฟาร์มหมู
ซูเหล่าต้าที่อยู่บ้านตะลึงตาค้าง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? น้องรองไปที่มณฑลครั้งเดียว แต่กลับบอกว่าจะไม่กลับบ้าน ต้องการจะอยู่ต่อยอดที่มณฑล ตกเย็นเขาก็มาปรึกษากับภรรยาที่บ้านของตน ว่าเขาควรจะต่อยอดอะไรสักหน่อยหรือไม่
“เธอลองดูพวกน้องรองกับน้องสามที่ล้วนแต่ออกจากชุมชนการผลิตไปต่อยอดข้างนอกสิ พวกเราก็ต้องทำอะไรสักอย่างด้วยไหม?”
ซูเหล่าต้าผู้นี้เป็นคนที่เฉลียวฉลาดจริง ๆ เขารู้ว่าตอนนี้ข้างนอกมีโอกาส แต่ก็คิดว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ควรจะอยู่ที่บ้าน เมื่อวันหนึ่งที่คนกลับมาก็ยังมีสถานที่ให้กลับมา
หวังเซียงฮวามองไปที่สามีของตนและพูด “คุณไม่ได้บอกว่าพวกเราต้องปกป้องบ้านหลังนี้ให้ดีเพื่อรอให้คนที่ไปข้างนอกกลับมาหรือ?”
ซูเหล่าต้าถอนหายใจพลางพูด “ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะกลับมาแล้ว”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมจึงมีความคิดแบบนี้ แต่ซูเหล่าต้าก็รู้สึกว่านกที่บินออกจากรังจะไม่กลับมาอีกแล้ว
หวังเซียงฮวานิ่งเงียบ
นี่เป็นปัญหาจริง ๆ
ตอนนี้พวกเขาฟังดูเหมือนยังเป็นครอบครัวหนึ่ง แต่ความจริงก็เหมือนแยกครอบครัวแล้วตอนช่วงตรุษจีนก็ดูรายได้ของแต่ละครอบครัวออก
ถ้าช่วงตรุษจีนปีนี้ทุกคนยังอยู่ด้วยกัน บ้านพี่ใหญ่ของพวกเขาจะต้องเป็นคนที่มีรายได้น้อยที่สุด พวกเขาจะยากจนสักหน่อยก็ไม่ได้เครียดนัก แต่ยังมีลูกชายอีกสามคน แล้วลูกชายทั้งสามคนจะทำอย่างไรล่ะ?
หวังเซียงฮวาและซูเหล่าต้าล้วนเงียบไป
คืนนั้นพวกเขานอนหลับไม่สนิท ทั้งสองคนไม่รู้ว่าควรจะเปลี่ยนแปลง และออกไปจากชุมชนการผลิตหงซินที่อยู่บ้านนอกดีหรือไม่
ในขณะเดียวกัน คนจำนวนมากที่ชุมชนการผลิตหงซินก็ล้วนนอนไม่หลับ
คนตระกูลซูล้วนออกไปจากชุมชนการผลิตหงซินแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงพี่ใหญ่และภรรยาสองคน ไม่แน่วันหนึ่งทั้งสองคนอาจจากไปก็ได้
ตอนนี้ในใจของคนที่ชุมชนการผลิตหงซินล้วนมีหนึ่งคำถาม โลกภายนอกดีอย่างนี้จริงหรือ? หากออกไปภายนอกแล้วชีวิตจะสุขสบายกว่าที่อยู่ในชุมชนการผลิตหงซินไหม?
หลังจากนั้นพวกเขาก็ประหลาดใจที่พบว่าครอบครัวของหลี่จู้จื่อดูเหมือนจะไม่อยู่ในชุมชนการผลิตแล้ว แต่ได้ยินว่าไปตั้งรกรากที่อำเภอ
มาตอนนี้คนของชุมชนการผลิตหงซินก็นั่งไม่ติดแล้วจริง ๆ
พวกเขาไม่รู้ว่าโลกภายนอกตกลงแล้วมีอะไรแตกต่าง แต่คนหนุ่มสาวที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวก็รีบพากันออกไปทำมาหากินภายนอกทีละคน
ตอนที่ซูฉางจิ่วพบกับปัญหานี้ ในชุมชนการผลิตก็มีวัยรุ่นสิบกว่าคนขอลาหยุดไปทำมาหากินที่ภายนอกแล้ว
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ชุมชนการผลิตต้องเสียแรงงานที่แข็งแรงไปจำนวนมากขนาดนี้ งานของที่นี่จึงไม่อาจทำต่อไปได้
ในตอนนี้เถียนเสี่ยวเหอผู้เป็นสะใภ้รองของซูฉางจิ่วก็มองเห็นสถานการณ์นี้ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ
“คุณพ่อคะ คุณพ่อก็เห็นแล้วว่าคนบ้านหลักตระกูลซูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!”
เถียนเสี่ยวเหอไม่สบอารมณ์ตั้งแต่แรกที่ซูเสี่ยวเถียนต้องการกำไร 20% ของตน หลังจากนั้นจึงรีบไปขอให้ซูฉางจิ่วช่วยพูด แต่ซูเสี่ยวเถียนก็ปฏิเสธเหมือนกัน คาดไม่ถึงว่าซูเสี่ยวเถียนจะหันไปหาหลี่จู้จื่อ
“เธอพูดมั่วซั่วอะไรอยู่? เกี่ยวอะไรกับบ้านหลักตระกูลซู?” ซูฉางจิ่วจ้องมองเถียนเสี่ยวเหอพลางพูด
“คุณพ่อคะถึงยังไงคุณพ่อก็เป็นหัวหน้าชุมชนการผลิต บ้านหลักตระกูลซูทำแบบนี้ถือว่าไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาเลยนะคะ!” เถียนเสี่ยวเหอไม่กลัวพ่อสามีโกรธ ทั้งยังพยายามยุแยงตะแคงรั่วเต็มที่
“สะใภ้รอง เธอพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก บ้านหลักตระกูลซูไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีกับครอบครัวของเรา เพียงแต่เธอไม่คว้าโอกาสเอาไว้เอง!” ซูฉางจิ่วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจลูกสะใภ้รองคิดอะไรอยู่
แต่เรื่องนี้จะโทษซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้
คนเสนอจะบอกเทคนิคให้ขอเพียงแลกกับกำไร 20% ถือว่าไว้หน้าเขาที่เป็นหัวหน้าชุมชนการผลิตมากแล้ว
ในบ้านของซูเหล่าเอ้อร์ที่ใช้สูตรนี้ไม่ใช่ว่าก็ต้องการกำไร 20% เหมือนกันหรือ? ไม่รู้ว่าสะใภ้รองผู้เลอะเลือนคนนี้ตกลงแล้วคิดจะทำอะไร จึงคิดแต่จะเอาเปรียบอยู่แบบนี้
“คุณพ่อคะ คุณพ่อทำดีกับคนบ้านหลักตระกูลซู หลายปีมานี้ก็ปกป้องคนบ้านหลักตระกูลซูไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไปอยู่อย่างอิสระข้างนอกได้หรือคะ? จำนวนคนงานตอนแรกไม่ใช่ว่าถูกบ้านหลักตระกูลซูเอาเปรียบหรือคะ?” เถียนเสี่ยวเหอพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ซูฉางจิ่วมองเถียนเสี่ยวเหอ คิดว่าลูกสะใภ้คนนี้สมองเลอะเลือนนัก
เรื่องจำนวนคนงาน นั่นเป็นเพราะความสามารถของคนบ้านหลักตระกูลซูเอง
ที่สองปีนี้คนตระกูลซูออกไปอยู่ข้างนอกก็เป็นเรื่องจริง แต่คนก็ไม่ได้มาขอเสบียงอาหารจากชุมชนการผลิตสักหน่อย แม้แต่อาหารที่กันไว้ให้พื้นฐานของทุกคนก็ยังไม่ต้องการ
สุดท้ายยังเป็นคนอื่นในชุมชนการผลิตที่ได้เปรียบ
“คุณพ่อคงคิดว่าคำพูดของฉันไม่น่าฟัง แล้วคนของบ้านหลักตระกูลซูออกไปทำอะไรข้างนอก! ใครจะรู้!”
เถียนเสี่ยวเหอยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง
“คุณพ่อลองคิดดูนะคะ ถ้าคนตระกูลผู้เฒ่าซูอาศัยความสามารถทำให้มีข้าวกิน ชีวิตจะรุ่งเรืองได้ขนาดนี้เลยหรือคะ? ฉันว่าไม่แน่คนตระกูลผู้เฒ่าซูอาจทำเรื่องบางอย่างกับนายทุนผู้ร่ำรวย ซึ่งเป็นเรื่องกินหมั่นโถวเลือดคน*[1]ก็ได้นะคะ”
เถียนเสี่ยวเหอผู้นี้อาจไม่ค่อยมีความสามารถนัก แต่ตอนที่พูดกลับพูดออกมาได้เป็นวักเป็นเวน
คำพูดที่พูดออกมาลูกสะใภ้ของซูฉางจิ่วรู้สึกว่าเธอพูดออกมาอย่างมีเหตุผล
เธอเปิดปากพูด “คุณพ่อคะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าที่สะใภ้รองพูดก็มีเหตุผลนะคะ?”
“แม่ มีเหตุผลอะไรกัน? แม่ก็อย่าไปสับสนตามนะคะ ครอบครัวพวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่มาอย่างดี คนของตระกูลผู้เฒ่าซูจะไปทำอะไรข้างนอกก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับบ้านพวกเราเลยค่ะ” ซูเสี่ยวเฉ่าได้ยินก็รีบเกลี้ยกล่อมแม่ของตัวเอง
เถียนเสี่ยวเหอได้ยินน้องสามีไม่พูดกับตนก็ชักสีหน้า น้องสามีผู้นี้โตขนาดนี้แล้วยังต้องเรียนหนังสือ เปลืองเงินในครอบครัวนัก! แต่คำพูดของซูเสี่ยวเฉ่าก็ทำให้สะใภ้ของซูฉางจิ่วเข้าใจแจ่มแจ้งในทันใด
[1] กินหมั่นโถวเลือดคน หมายถึง หาประโยชน์จากการเอาเปรียบผู้อื่น