บทที่ 617 การตอบสนองแปลกเกินไป
บทที่ 617 การตอบสนองแปลกเกินไป
“ดีที่เด็ก ๆ ในบ้านโตแล้ว ให้พ่อตาดูแลพวกเขาสักวันสองวันก็ได้”
หลี่จู้จื่อคิดดูแล้ว แม้ว่าสายตาของพ่อตาจะไม่ค่อยดี แต่ตราบใดที่เตรียมอาหารไว้ให้ดี และให้เขาดูแลเรื่องอาหารของเด็กทั้งสองคนก็ได้แล้ว
“แบบนี้ก็ได้ ทางด้านฉันเตรียมของไว้หมดแล้ว รอน้องสะใภ้มาค่อยเอาให้เธอ” ฉีเหลียงอิงพูด
ถ้าเรื่องในบ้านยังวางไม่ลง ก็ต้องพยายามทำให้เวลาสั้นลงสักหน่อย แต่หลี่จู้จื่อกลับพูดว่า “พี่สะใภ้รอง เกรงว่ายังต้องรบกวนคุณสอนเธอแล้ว”
ตอนที่พูดออกไป หลี่จู้จื่อก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่การเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่กี่วันมานี้ที่เขาเฝ้าดูไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าหมูพะโล้ ไข่พะโล้หรือเนื้อตุ๋นหม้อไฟ ไหนจะเรื่องการทำการค้าก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้
สะใภ้ของเขาทำนามาโดยตลอด ไม่เคยสัมผัสเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย
“ได้ ถึงยังไงพอน้องสะใภ้มาแล้วก็ยังมีคนมาช่วยงานฉันด้วย!”
ถึงอย่างไรร้านของครอบครัวหลี่จู้จื่อก็เปิดในอำเภอ ไม่ได้เป็นคู่แข่งทางการค้ากับตน เช่นนี้ฉีเหลียงอิงจึงมีความกระตือรือร้นอยู่มาก
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนพี่สะใภ้รองแล้ว” หลี่จู้จื่อพูดขอบคุณ
เขาต้องทำการค้าภายนอก เรื่องในบ้านจึงไม่ได้อยู่ดูแล ในเมื่อที่ร้านเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่อาจล่าช้าได้อีก เพียงแต่ยังเป็นห่วงว่าภรรยาจะเหนื่อยมากเท่านั้น
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า “อาสี่รอบคอบมากเลยค่ะ!”
“อาสี่ครับ พวกเราไปซื้อสินค้าที่หรงเฉิงกันก่อน พออาดูแล้วว่าสินค้าชนิดไหนที่น่าจะขายออกง่าย หลังจากนั้นพวกเราค่อยเอาไปขายที่ไหวเฉิงสักรอบหนึ่งก็น่าจะได้ไม่ต่างจากเดิมนักครับ” ซูโส่วเวินพูด
“พวกโส่วเวินต้องกลับไปเรียนหนังสือที่เมืองหลวง ฉันก็ไม่จำเป็นแล้ว หลังจากนี้ฉันก็ไปทำการค้ากับอาสี่ด้วยได้ไหม” หลี่มู่มู่พูดไม่ให้เสียโอกาส
เขากังวลว่าหากพวกซูโส่วเวินไปเรียนแล้ว เขาคนเดียวจะทำการค้านี้ได้ไม่ดี คาดไม่ถึงว่าแค่สัปหงกก็เจอหมอน*[1]แล้ว
“แบบนั้นก็ดีเลย!” หลี่จู้จื่อก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกัน ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกัน
หยางซู่หลินยืนมองอยู่ด้านข้าง ครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร หากไปเป็นหุ้นส่วนทางการค้าด้วยจะดีหรือไม่? แต่ความคิดของครอบครัวยังอยากให้เขาใช้ชีวิตทำงานไปตามปกติ
แต่เพราะเขาไม่มีการศึกษา อีกทั้งอายุก็ไม่น้อยแล้ว การหางานจึงไม่ง่าย เดิมทีเขาคิดว่าจะเอารายได้ครั้งนี้ไปติดสินบนสักหน่อย ไม่แน่อาจหางานที่มั่นคงทำได้ แต่ตอนนี้พอเห็นหลี่มู่มู่และหลี่จู้จื่อสองคนนี้แล้ว เขาจะไม่หวั่นใจได้หรือ?
การค้านี้ได้เงินเร็วมากจริง ๆ แม้จะหางานที่มั่นคงได้ในหนึ่งเดือนรวมโบนัสแล้ว ก็ได้เจ็ดแปดสิบหยวน
หลังจากซูเสี่ยวเถียนทิ้งห่อเครื่องปรุงไว้แล้วจำนวนหนึ่ง ก็ขึ้นรถไฟลงใต้ไปกับพวกซูโส่วเวิน
รถไฟของพวกเขาเป็นรอบค่ำ ฉีเหลียงอิงตั้งใจรีบปิดร้านเพื่อไปส่งพวกเขา
ที่สถานีรถไฟ คนหลายคนยังคงพูดคุยกันอย่างอาลัยอาวรณ์ในการแยกจากครั้งนี้
ซูเหล่าเอ้อร์มองเห็นความละล้าละลังก็บ่นออกมา “พวกเธอทำอะไรกัน? อย่างมากอีกครึ่งปีก็ได้เจอกันแล้วนะ”
คำพูดของซูเหล่าเอ้อร์ทำให้ฉีเหลียงอิงที่คิดได้ตาโต
เมื่อมองตามรถไฟจนลับสายตา ซูเหล่าเอ้อร์และภรรยาก็กลับไปที่ร้าน
ในเมืองหลวงตอนนี้ คุณย่าซูถอนหายใจทั้งวันเพราะคิดถึงหลานสาวผู้ว่าง่ายของตน
พวกซูเสี่ยวลิ่วได้ยินก็อยากมาดูหยั่งเชิง
“คุณย่าครับ เสี่ยวเถียนเป็นหลานสาวคนเดียวของคุณย่า ส่วนพวกเราล้วนถูกเก็บมาหรือเปล่าครับ?” ซูเสี่ยวชีอดถามไม่ได้
คุณย่าซูจ้องซูเสี่ยวชีพลางดุ “แกกำลังพูดอะไร? น้องสาวแกออกไปนานขนาดนี้แกไม่คิดถึงเธอก็ช่าง แต่ยังจะมาพูดแบบนี้อีก!”
พูดไปคุณย่าซูก็เริ่มโมโหขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะยกไม้นวดแป้งตีไปที่ตัวของซูเสี่ยวชี
ช่างเป็นเด็กที่บ้าบออะไรเช่นนี้? พูดอะไรกัน?
ไม่ถูกใจเลยสักนิดหากเด็กดีของเธออยู่จะต้องไม่พูดแบบนี้แน่
“ย่า ไม่ใช่นะครับ ๆ ผมไม่ได้จะทำให้ย่าอารมณ์ไม่ดี แค่อยากให้ย่าอารมณ์ดีสักหน่อยเท่านั้นเองนะครับ?” ซูเสี่ยวชีเปิดปากต้องการเอาชีวิตรอดอย่างถึงที่สุด
ย่าของเขาหากจะตีหลานสาวแน่นอนว่าเป็นแค่การแกล้งทำ แต่หากเป็นการตีหลานชายจะต้องตั้งใจตีจริงแน่นอน
ซูเสี่ยวลิ่วพูดไม่ออกมองซูเสี่ยวชีที่กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน พูดได้ว่าสมควรแล้ว! โง่จริง ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีทำไมต้องไปยั่วยุเสี่ยวเถียนที่เป็นหลานรักคุณย่าของบ้านด้วย?
ซูเสี่ยวปา และซูเสี่ยวจิ่วทั้งสองคนก็มองพี่เจ็ดของตัวเองที่วอนหาเรื่องด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“พี่เจ็ด มีเรื่องอะไรพี่ต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้านะ!” ซูเสี่ยวจิ่วพูดอย่างซื่อตรง
คุณย่าซูได้ยินคำพูดนี้ของซูเสี่ยวจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง เจ้าเด็กหน้าเหม็นพวกนี้อยู่ดีไม่ว่าดีเสียจริง!
“พวกแกอยากกินอะไร? ฉันจะไปทำให้พวกแกกิน!” คุณย่าซูดุจบก็ยังเป็นย่าที่รักหลานชาย แสดงออกทันทีว่าต้องการทำของอร่อยให้พวกเขากิน
“คุณย่าทำซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงได้ไหมครับ?” ซูเสี่ยวชีลองถามหยั่งเชิง
ที่จริงเขาก็ไม่ได้คาดหวังมากเกินไป ถึงอย่างไรย่าของเขาก็ขี้เหนียวอยู่บ้าง ไม่แน่ย่าของเขาอาจจะพูดว่า : หลานรักของฉันไม่อยู่ จะกินซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงได้ยังไง!
คาดไม่ถึงว่าคุณย่าซูจะตอบรับ “งั้นกินซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงก็ได้! ฉันจะทำข้าวขาวหม้อใหญ่ให้พวกแกหม้อหนึ่ง”
พูดจบคุณย่าซูก็รีบวิ่งไปทำอาหารในครัว
พวกหลานชายเห็นคุณย่าซูที่เป็นเช่นนี้ ก็ไร้การตอบสนองไปชั่วขณะ
“ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าคุณย่าก็ไม่ได้ลำเอียงเกินไป!” ทันใดนั้นซูเสี่ยวชีก็พูดออกมาอย่างกะทันหัน
“เจ้าพวกเด็กหน้าเหม็นพูดอะไรกันอยู่?”
ในตอนนี้เอง ผู้อำนวยการหลี่ของกระทรวงศึกษาธิการก็เข้ามา
“ผู้อำนวยการหลี่ คุณมาทำอะไรหรือ?” คุณปู่ซูออกมารับหน้าทักทายแขก “วันนี้มีงานเลี้ยงคุณมากินข้าวในบ้านพวกเราดีไหม?”
“คุณปู่วันนี้ผมไม่ได้มากินข้าว แต่ผมมาแจ้งข่าวดี!”
สีหน้าผู้อำนวยการหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสมองไปยังคุณปู่ซู กระตือรือร้นราวกับมองญาติที่ไม่ได้เจอกันมานาน
คุณปู่ซูไร้การตอบสนองไปครู่หนึ่ง บ้านพวกเขามีข่าวดีอะไร?
แต่ในตอนนี้เองที่ซูเสี่ยวลิ่วและซูเสี่ยวชีต่างตอบสนอง
ข่าวดีที่คนจากกระทรวงศึกษาธิการจะมาแจ้ง น่าจะมีเพียงเรื่องที่พวกเขาเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทันใดนั้นทั้งสองคนก็นิ่งงัน ไม่กล้าพูดอะไรสักประโยค รอให้ผู้อำนวยการหลี่พูดอย่างเงียบ ๆ
“ข่าวดีอะไรหรือ?” คุณปู่ซูถามอย่างไม่เข้าใจ
“คุณปู่ ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของหลานชายทั้งสองคนในครอบครัวคุณปู่ออกแล้ว และมีหนังสือแจ้งรับเข้าเรียนมาพร้อมกันด้วย”
เดิมทีผู้อำนวยการหลี่คิดว่าคุณปู่ซูจะต้องดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ใครจะรู้ว่าคุณปู่ซูกลับมีท่าทีไม่สนใจ
“เรื่องนี้ทำไมหรือ? ไม่เสียหน้าแล้วใช่ไหม?”
การตอบสนองผิดปกติเกินไปหน่อยแล้ว!
ผู้อำนวยการหลี่ตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง เขาอยู่กระทรวงศึกษาธิการมาหลายปีขนาดนี้ เรื่องการแจ้งข่าวดีก็เคยทำมาแล้ว ทั้งยังเคยเห็นคนที่หน่วยงานของเขาจำนวนไม่น้อยตื้นตันใจ
แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทางแบบคุณปู่ซู
“คุณปู่ไม่สงสัยหรือว่าผลสอบของหลานชายทั้งสองคนของคุณปู่เป็นยังไง?” ผู้อำนวยการหลี่ถามหยั่งเชิง
“เป็นยังไงหรือ? เดาไปก็เท่านั้นแค่ไม่เสียหน้าก็พอ!” คุณปู่ซูเทน้ำให้ผู้อำนวยการหลี่ พลางพูดอย่างไม่ยี่หระ
ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว ซูเสี่ยวลิ่วและซูเสี่ยวชีก็ต่างร้อนรน!
[1] แค่สัปหงกก็เจอหมอน หมายถึง แค่คาดหวังก็สมปรารถนาแล้ว