เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 619 ซื้อบ้านและเปิดร้าน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 619 ซื้อบ้านและเปิดร้าน

บทที่ 619 ซื้อบ้านและเปิดร้าน

ตอนที่พวกซูเสี่ยวเถียนกลับมาที่เมืองหลวง ก็เพิ่งได้รู้ว่ามีหลายคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ รวมถึงเรื่องที่ว่าในหมู่พวกเขาเสิ่นเฉิงกังเป็นคนที่เรียนแย่ที่สุดด้วย

สิ่งที่ทำให้ทุกคนล้วนแปลกใจคือเสิ่นเฉิงกังไปสมัครเรียนโรงเรียนทหาร แต่เขาเลือกเรียนที่โรงเรียนทหารของเมืองหลวง ไม่ใช่ทางตอนใต้เหมือนซูเสี่ยวอู่ จากคำพูดของเขาเอง บอกว่ายังต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ในบ้าน การเป็นทหารในเมืองหลวงย่อมดีที่สุด

ตอนที่พวกเขากลับมาที่เมืองหลวงก็ใกล้เปิดเรียนแล้ว หลังจากแต่ละคนเก็บข้าวของและพักผ่อนแล้วก็มาลงสมัคร

คุณย่าซูมองหลานแต่ละคนที่ทั้งคล้ำทั้งผอมก็ปวดใจจนทนไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อเห็นซูเสี่ยวเถียนที่ตัวคล้ำลงไม่น้อย ก็พูดอย่างปวดใจว่าเด็กสาวตัวน้อยอย่าไปเหมือนเจ้าเด็กแสบพวกนี้

ซูเสี่ยวเถียนทำเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร เธอต้องการหาเงินให้เร็วกว่าคนอื่น แต่น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง

หนึ่งวันก่อนเปิดเรียนพวกเด็ก ๆ ก็นั่งวางแผนกัน เงินจำนวนนี้ที่พวกเขาหาได้ช่วงปิดเทอม ต้องใช้อย่างไรเป็นปัญหาที่สำคัญมาก

“ฉันคิดว่าเก็บเงินไว้รอให้ถึงปิดเทอมฤดูหนาว พวกเราค่อยหาเงินกันต่อดีกว่า!” ซูโส่วเวินพูด

ซูซื่อเลี่ยงส่ายหน้า “ปล่อยเวลาช่วงเรียนทิ้งไปเปล่า ๆ เสียของเกินไป!”

“ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี?” หลังซูโส่วเวินถูกเตือนก็คิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลจริง ๆ

“หรือพวกเราจะให้เสี่ยวซื่อยืมเงินจำนวนนี้ดี?”

เงินที่ให้เสี่ยวซื่อมักจะสามารถคิดวิธีหาเงินเพิ่มได้เสมอ แม้ส่วนแบ่งจำนวนมากจะเป็นของเสี่ยวซื่อ แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ใช่หรือ?

ซูเสี่ยวเถียนฟังคำพูดของพวกพี่ชายก็คลี่ยิ้มออกมา การที่เข้าใจทำเงินจากการให้คนอื่นช่วยหาเงินแบบนี้ไม่เลวเลย!

“ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อบ้านเถอะ!” ซูเสี่ยวเถียนเสนอแนะ

ที่เมืองหลวงไม่มีวิธีที่จะทำเงินได้เร็วเท่าการซื้อบ้านแล้ว และการซื้อบ้าน ตัวเองยังไม่ต้องกังวล แค่รอให้ผ่านไปไม่กี่ปีก็เปลี่ยนเจ้าของและเอาเงินมาได้แล้ว

ตอนนี้พวกพี่ชายล้วนเรียนอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียน ไม่อาจทำให้เสียเวลาเพื่อการหาเงินมากเกินไปได้ การซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

ซูโส่วเวินคิดว่าตัวเองอายุไม่น้อยแล้ว หลังจากนี้หากต้องการอยู่ที่เมืองหลวง ก็ไม่สามารถอยู่ในบ้านของน้องสาวไปตลอดได้ ยังต้องมีบ้านของตัวเองด้วย

“ฉันคิดว่าที่เสี่ยวเถียนพูดมีเหตุผล เพียงแต่ตอนนี้บ้านกำลังราคาสูงขึ้น เงินของฉันน่าจะไม่พอ”

ช่วงสองปีที่พวกเขาอยู่ในเมืองหลวง บ้านในเมืองหลวงราคาสูงขึ้นไม่น้อย บ้านสี่ประสานที่เสี่ยวเถียนซื้อก่อนหน้านี้ราคาสองหมื่นหยวน ถ้าต้องการซื้อตอนนี้อย่างน้อยก็ต้องมีสามหมื่นหยวน แม้ว่าพวกเขาจะหาเงินได้จำนวนหนึ่ง แต่กับการซื้อบ้านก็ยังไม่พอ

อีกทั้งตอนนี้ราคาบ้านยังขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่คนยังไม่รีบร้อนใช้เงิน ส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ยอมขายบ้านทั้งนั้น

“บ้านใจกลางเมืองหลวงตอนนี้คงซื้อไม่ไหวแน่นอน แต่พี่ใหญ่คะ พี่ไม่คิดจะซื้อบ้านรอบนอกหรือคะ?”

บ้านใจกลางเมืองหลวงซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ แต่ใช่ว่าปัญหานี้จะไม่มีทางแก้ ชานเมืองในตอนนี้ หลังจากนี้ไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นใจกลางเมือง

ซูโส่วเวินนิ่งงัน เขาอยากซื้อบ้านแต่กลับไม่เคยคิดจะไปซื้อในหมู่บ้าน ชานเมืองก็นับว่าเป็นเมืองหลวง แต่จริง ๆ ก็ยังเป็นชานเมือง!

“เสี่ยวเถียนเรื่องซื้อบ้านในหมู่บ้าน ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงเลย!” ซูโส่วเวินพูดอย่างตรงไปตรงมา

ซูเสี่ยวเถียนมองพวกพี่ชายอีกครั้ง พวกเขาล้วนพยักหน้าเห็นด้วย

“เมืองหลวงจะขยายตัว ไม่อาจมีขนาดเท่านี้ไปได้ตลอดหรอกค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนเตือนพวกเขา

ซูโส่วเวินเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็คิดอย่างจริงจังเรื่องการพัฒนาของเมืองหลวงในช่วงสองปีมานี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดมีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง

“ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์พวกเราลองไปดูทุกที่กันเถอะ” ซูโส่วเวินตอบรับก่อนเป็นคนแรก

ซูโส่วเวินตัดสินใจจะซื้อบ้านแล้ว ซูซื่อเลี่ยงก็ยิ่งรู้สึกว่าการซื้อบ้านนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ตอนนี้เขาเรียนรู้การวาดภาพ บุคลิกของเขาก็ยิ่งนิ่งเฉยมากขึ้น กำลังคิดจะหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์ไม่เลว จะเลือกซื้อบ้านที่มีดอกไม้มีต้นไม้จะดีที่สุด นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว

ซูซานกงอยู่ในบ้านพอดี เมื่อได้ยินว่าพวกพี่ชายอยากจะซื้อบ้าน ซูซานกงก็ถูมืออย่างร้อนรน ตอนนี้ไม่รู้ราคาบ้านสูงขึ้นไปขนาดไหนแล้ว เงินในมือของเขาเทียบกับพวกพี่ชายแล้วนับว่ายังน้อย หากจะซื้อบ้านไม่รู้จะพอหรือไม่

ส่วนซูเสี่ยวซื่อในฐานะคนที่มีเงินมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง พวกเขาไม่คิดว่าเขาจะมีปัญหาเรื่องเงินไม่พอซื้อบ้าน

คุณย่าซูได้ยินว่าพวกหลานคิดจะหาซื้อบ้านในเมืองหลวง ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

“ดีเลย บ้านสี่ประสานที่พวกเราอยู่ตอนนี้เป็นของน้องสาวพวกแก ในอนาคตถ้าพวกแกแต่งงานก็ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองด้วย!”

คุณย่าซูคิดว่าในอนาคตทั้งครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ แต่บ้านเป็นของซูเสี่ยวเถียน เธอไม่มีหน้าจะไปบอกว่าให้ทุกคนอยู่ในบ้านของซูเสี่ยวเถียนด้วยกันหรอก

หากพวกหลานสามารถซื้อบ้านได้จะนับว่าดีที่สุด

“ฉันเพิ่งไปถามเมื่อไม่กี่วันก่อนพอดี เลยรู้ว่าบ้านแถวชานเมืองราคาถูกมาก บ้านหลังหนึ่งแค่พันสองพันหยวน แค่สามพันหยวนก็พอแล้ว” ถานจื่อสือพูด

หลังจากพูดคุยเรื่องนี้พวกพี่น้องตระกูลซูก็ล้วนเงียบงัน

พวกเขาล้วนหาเงินจำนวนหนึ่งมาด้วยตัวเอง แต่บ้านไม่กี่พันหยวนถูกจนพวกเขาพูดไม่ออกสักประโยค อีกทั้งยังเป็นบ้านแถบชานเมือง

“ปู่ถานว่าอะไรนะ? อยากซื้อบ้านหรือ?” คุณปู่ซูถาม

“พวกเราสองสามีภรรยาเก็บเงินไว้บางส่วน อยากจะซื้อสังหาริมทรัพย์” ถานจื่อสือพูด

ความจริงตามความคิดของถานจื่อสือ ไม่ได้อยากจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่หลีอวี๋เหนียงบอกว่าไม่อาจอยู่ที่บ้านตระกูลซูไปตลอดได้

หลังจากสองสามีภรรยาปรึกษากัน ก็ยิ่งคิดอยากจะซื้อบ้าน แต่เมื่อลองไปสอบถามสักครั้ง พวกเขาก็รู้ว่าเงินจำนวนเพียงเท่านี้ไม่อาจซื้อบ้านในใจกลางเมืองหลวงได้แน่นอนสุดท้ายเป้าหมายของสองสามีภรรยาก็อยู่ที่ชานเมือง บ้านในชานเมืองถูกกว่ามาก เงินเก็บที่อยู่ในมือของพวกเขาสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ได้ ถึงตอนนั้นจะทำก๋วยเตี๋ยวเย็นที่ชานเมืองก็ง่ายแล้ว

ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ซูเสี่ยวซื่อก็กลับมา ในมือของเขาหิ้วแตงโมมาและพูดว่า

“นี่ก็เดือนกันยายนแล้วทำไมยังร้อนขนาดนี้?”

“ช่วงเสือฤดูใบไม้ร่วง*[1]สิบแปดวันต้องร้อนอยู่แล้ว” คุณย่าซูมองหลานชายที่ร้อนจนเหงื่อไหลเต็มหน้า จึงรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขา “วัน ๆ ไม่กลับบ้านไม่รู้ยุ่งอะไรนักหนา”

“คุณย่าช่วงนี้ผมต้องไปดูร้านค้าไม่ใช่หรือครับ คิดว่าห้างร้านหรงฟาสามารถเปิดอีกครั้งได้แล้วครับ!” ซูเสี่ยวซื่อพูดอย่างมีความสุข “ถ้าแบ่งขายหุ้นบางส่วนและเอาเงินมาถือไว้พวกนายคิดว่ายังไงบ้าง?”

ช่วงนี้การค้าของร้านมั่นคงแล้ว ซูเสี่ยวซื่อจึงครุ่นคิดรู้สึกว่ามีเรื่องอีกมากที่น่าทำจึงวางแผนเปิดร้านอีกแห่ง

ตอนนี้เขามีเป้าหมายเล็ก ๆ หนึ่งอย่างคือทั้งทิศเหนือใต้ออกตกของเมืองหลวงจะต้องมีห้างร้านหรงฟา

พวกซูเสี่ยวเถียนเดิมทีคิดเรื่องปัญหาในการซื้อบ้าน แต่กลับถูกซูเสี่ยวซื่อขัดจังหวะ

“เสี่ยวซื่อ แกคนเดียวจะดูแลไหวหรือ?” คุณย่าซูถาม

“คุณย่าทำไมผมจะดูแลไม่ไหวละครับ ขอเพียงทำเงินได้ผมก็มีกำลังมากพอครับ!” ซูเสี่ยวซื่อยิ้มยิงฟันขาว

ห้างร้านหรงฟาทำกำไรมากเกินพอแล้ว ไม่อาจพลาดโอกาสทำเงินดี ๆ ได้

ทุกคนมองหน้ากันไปมา

แต่ซูเสี่ยวซื่อก็เป็นคนแบบนั้นจริง ๆ ตราบใดที่สามารถทำเงินได้ ต่อให้ไม่หลับไม่นอนก็ย่อมได้

[1] เสือฤดูใบไม้ร่วง หมายถึง เกิดระหว่างเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายนเป็นช่วงที่อากาศช่วงเช้าและกลางคืนมีอากาศเย็น แต่ช่วงกลางวันจะอากาศร้อน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท