บทที่ 669 กลับบ้านเกิด
บทที่ 669 กลับบ้านเกิด
ในเมื่อเรื่องนี้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วก็มีคนที่ต้องกลับบ้านเกิดไปเอาสมบัติ แต่จะส่งใครสักคนกลับไปสักรอบอย่างกะทันหันแบบนี้ ข้อแรกคือการจะเอาสมบัติออกมานั้นไม่ง่าย ข้อสองคือจะดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้ง่าย
ทุกคนหารือกันอีกครั้ง และตัดสินใจว่าจะกลับไปทั้งครอบครัวสักรอบ
เมื่อถึงตอนนั้นแต่ละคนมีเงินคนละหยวนสองหยวน ก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเอาสมบัติมาที่เมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขาก็มีเหตุผลอันดีที่จะกลับไป
หลานชายในครอบครัวแต่งงานแล้ว เด็กอีกสามคนก็คะแนนสอบออกแล้วซึ่งผลสอบล้วนดีเยี่ยมนับเป็นมงคลคู่
กลับบ้านเกิดไปจัดงานเลี้ยงรับแขกทักทายเพื่อนบ้านญาติสนิทสักหน่อย
ในเมื่อเป็นแบบนี้คุณย่าซูก็จัดแจงให้คนในบ้านแยกไปจัดการทันที ต้องเตรียมของขวัญไว้ให้ญาติผู้ใหญ่และคนที่สนิทชิดเชื้อ
เรื่องของขวัญแน่นอนว่าเป็นลูกสะใภ้ทั้งสามคนเป็นผู้จัดเตรียม แม้พวกเขาจะไม่ชอบคู่สามีภรรยาตระกูลเหลียงแต่ก็ไม่อาจเลือกที่รักมักที่ชังได้
ในหมู่บ้านยังมีพวกพี่น้องที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไม่ง่ายกว่าจะได้กลับไปสักครั้งย่อมต้องส่งของขวัญไปให้ที่บ้านด้วย ของในงานเลี้ยงกลับบ้านก็ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า จะเป็นการดีที่สุดหากซื้อของที่มีเฉพาะในเมืองหลวงจึงจะเหมาะสม
ทั้งยังต้องซื้อพวกตั๋วรถไฟเอาไว้ด้วย
ตามการจัดแจงของคุณย่าซูทุกคนก็ยุ่งกับหน้าที่ขึ้นมาทันที
เมื่อพวกหลี่มู่มู่และหลี่จู้จื่อมาถึงบ้านของซูซื่อเลี่ยง ก็เห็นภาพที่ทุกคนในบ้านแต่ละคนกำลังยุ่ง หลังจากถามจึงเพิ่งรู้ว่ามีมงคลคู่จึงคิดจะกลับไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านเกิด หลี่จู้จื่อมีความสุขมากราวกับเป็นเรื่องในครอบครัวตัวเอง
“สมควรต้องกลับไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านเกิดแล้ว คนที่บ้านเกิดก็จะมีความสุขไปด้วย!”
แต่หลี่มู่มู่กลับไม่คิดแบบนั้น เขาคิดว่าคนย่อมต้องอิจฉาแน่นอน
ตระกูลซูในตอนนี้ได้ดีถึงเพียงนี้คนทางฝั่งบ้านเกิดจะมีความสุขจริงหรือ? ไม่แน่คนอาจจะทั้งอิจฉาทั้งอึดอัดใจ แต่หลี่มู่มู่รู้ว่าคำพูดนี้ของเขาไม่อาจพูดออกไปได้ และไม่อาจทำลายบรรยากาศที่มีความสุขในตอนนี้ ถึงอย่างไรเมื่อหลานชายคนโตในครอบครัวแต่งงานการจะกลับไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านเกิดย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่ได้ไปด้วย ผมวางแผนว่าจะกลับไปเมืองหรงเฉิงสักครั้ง!”
หลี่หลินหลินไม่เต็มใจจะแยกกับพี่ชายอยู่บ้าง
ตอนที่ไม่ได้เจอกันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อพบหน้ากันแล้วยามที่จะแยกจากกลับรู้สึกเสียใจยิ่ง
“โตกันหมดแล้วจนแต่งงานแล้วด้วยยังจะขี้แยอยู่อีก” หลี่มู่มู่เห็นดวงตาน้องสาวแดงก่ำก็ยิ้มลูบหัวเธอพลางพูด
หลี่มู่มู่ถูกพี่ชายล้อจนความรู้สึกเศร้านั้นสลายหายไป
“มู่มู่จะไม่กลับไปกับพวกเราสักครั้งหรือ?” คุณปู่ซูถาม
“จัดงานแต่งและรับรองแขกไปแล้วผมยังมีธุระที่เมืองหรงเฉิงอยู่น่ะครับ” หลี่มู่มู่พูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ในอนาคตก็กลับมาเยี่ยมน้องสาวที่เมืองหลวงบ่อย ๆ นะถ้ามาปักหลักที่เมืองหลวงเลยจะยิ่งดี!”
คุณปู่ซูยังคงชอบมู่มู่มากเพราะเป็นเด็กฉลาดและรู้จักบุญคุณ
เห็นทุกคนมีท่าทียินดีที่จะกลับบ้านเกิดซูเสี่ยวเถียนก็หมดคำพูด เธอคิดว่าไม่ต้องลำบากเช่นนี้ก็ได้ แค่ให้เธอกลับบ้านคนเดียวก็สามารถเอาทุกอย่างกลับมาเมืองหลวงได้แล้ว แต่หากพูดแบบนั้นจริงคาดว่าคนย่อมสงสัยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งทุกคนล้วนกลับไปแบบนี้วันปีใหม่ก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว
วันหยุดฤดูร้อนนี้ไม่ได้หาเงินเลย ช่วงวันหยุดฤดูหนาวจะเสียเปล่าไม่ได้ แน่นอนว่าต้องใช้หาเงินให้ดี
คืนนั้นทุกคนติดป้ายหน้าร้านอาหารว่ามีธุระปิดร้านเจ็ดวัน ก่อนจะออกเดินทางกลับบ้านเกิด
วันต่อมาเมื่อคนเห็นว่าหออีหมิงปิดก็ล้วนผิดหวังมาก
ช่วงนี้หออีหมิงปิดบ่อยมาก แต่คนในบ้านมีเรื่องน่ายินดีจะทำอย่างไรได้เล่า?
โชคดีที่เวลาเจ็ดวันผ่านไปเร็วยิ่ง
ในตอนนี้คนตระกูลซูนอนอยู่บนรถไฟ
เด็กและผู้ใหญ่เกือบยี่สิบคนถือของคนละไม้คนละมือ แม้ของที่พวกเขาเอามาจะไม่ได้มีมูลค่ามากมายนัก แต่กระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ก็ดูสะดุดตาพอสมควร
ตั้งแต่เข้าไปในสถานีรถไฟก็มีคนไม่น้อยที่จ้องมองพวกเขา ในยุคสมัยนี้ความสงบเรียบร้อยในสังคมยังไม่ค่อยดีนัก คนมากมายบนรถไฟใช้มือจับสัมภาระของผู้โดยสาร เพียงแต่เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้แม้แต่พวกนอกกฎหมายก็ยังไม่กล้าจ้องมอง
มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำมากมายถึงเพียงนี้หากไปแตะต้องจนโดนหนึ่งคนหนึ่งเท้าเตะคงไม่รอดชีวิตแล้ว! แม้เงินจะสำคัญแต่ชีวิตสำคัญกว่าอย่าได้ไปล้วงคองูเห่า
สถานีรถไฟใหญ่ถึงเพียงนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหยื่อคนอื่น ดังนั้นตลอดการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นยิ่ง
รุ่งสางของวันที่สามทั้งกลุ่มก็มาถึงตัวเมืองอำเภอ
การคมนาคมช่วงไม่กี่ปีมานี้ดีกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ขบวนรถที่ไปหมู่บ้านหนานหลิ่งก็เพิ่มขึ้น
แต่พวกเขามีคนมากแค่ครอบครัวของพวกเขาครอบครัวเดียวรถก็เต็มแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าการกลับไปรอบนี้รีบร้อนมากจึงต้องเร่งเวลาสักหน่อย
ซูเหล่าซานบอกว่าไปดูในขบวนรถตรง ๆ เลยดีกว่าว่าสามารถเช่ารถสักคันกลับบ้านได้ไหม
หัวหน้าในขบวนรถตอนนี้เปลี่ยนคนแล้วซูเหล่าซานจึงไม่รู้จัก แต่ในขบวนรถมีเพื่อนร่วมงานที่เคยรู้จักกันมาก่อน ซูเหล่าซานจึงเช่ารถมาได้อย่างรวดเร็ว
คนที่มาส่งพวกเขาบังเอิญเป็นเพื่อนร่วมงานเก่า
จากคำบอกเล่าของอดีตเพื่อนร่วมงานซูเหล่าซานจึงได้รู้ว่าไม่กี่ปีมานี้ในอำเภอมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย ตอนนี้สถานการณ์ในขบวนรถก็ไม่สู้ดีแทบรักษาสภาพไว้ไม่ได้แล้ว
ทั้งยังบอกว่าโรงงานอาหารเมื่อก่อน ในตอนนี้ล้มละลายไปแล้ว
ตอนที่ฉีเหลียงอิงได้ยินว่าโรงงานอาหารล้มละลายก็ลอบดีใจกับตัวเอง
ตอนแรกที่เธอเอาเงินชดเชยห้าร้อยหยวนออกมาจากโรงงานอาหารโดยไม่ลังเลเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
หากไม่ออกมาโดยไม่ลังเลตั้งแต่แรกในตอนนี้เกรงว่าคงได้น่าสงสารเหมือนคนที่ไม่มีงานไม่มีเงินพวกนั้นแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองเคยเสียใจในตอนนั้น ตอนนี้กลับได้ดีกว่าคนพวกนั้น ฉีเหลียงอิงก็รู้สึกเพียงเอวยืดตรงอยู่ไม่น้อย ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ากลับบ้านเกิดได้อย่างภาคภูมิใจ ทั้งยังยิ่งมั่นใจว่าร้านของตัวเองจะต้องไปได้สวยแน่นอน
หลี่จู้จื่อและภรรยารีบกลับไปดูร้านของตัวเอง จากนั้นก็กลับไปในหมู่บ้านกับตระกูลซู
ส่วนเหตุผลที่กลับหมู่บ้านเป็นเพราะตระกูลซูต้องกลับไปต้อนรับแขกที่หมู่บ้าน แน่นอนว่าหลี่จู้จื่อและภรรยาต้องกลับไปช่วยด้วย
เมื่อทุกคนมาถึงหมู่บ้านหนานหลิ่ง คนในหมู่บ้านก็ล้วนตกตะลึงยิ่ง
ตอนปีใหม่คนตระกูลซูล้วนไม่กลับมา แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลับมาอย่างกะทันหันแบบนี้?
มีคนนึกได้ว่าได้ยินข่าวว่าหลี่จู้จื่อและภรรยาพาลูกไปเมืองหลวง เพราะหลานชายคนโตของตระกูลซูซูโส่วเวินกำลังจะแต่งงาน
ตอนนี้กลับมาอย่างกะทันหันแบบนี้หรือเป็นเพราะวางแผนจะจัดงานแต่งงานในหมู่บ้านหรือ?
เดิมทีตระกูลซูก็กลับมาด้วยจุดประสงค์นี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบังและบอกเรื่องมงคลคู่ของครอบครัวไป
งานเลี้ยงถูกกำหนดขึ้นในอีกสามวัน
แต่พวกเขากลับเริ่มยุ่งกันแล้วทั้งยังต้องเชิญแขกเหรื่อด้วย ในตอนนี้ล้วนต้องเตรียมตัว ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาจัดโต๊ะอาหารแล้วแต่ไม่มีคนมางานเลี้ยงก็จะน่าอายทีเดียว
ลูกชายทั้งสามคนและหลานทั้งแปดคนล้วนถูกคุณย่าซูส่งออกไปเชิญแขก