บทที่ 711 นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
บทที่ 711 นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากใจกับคนที่ไม่เต็มใจจะคบค้าสมาคมด้วย
ดังนั้นเธอจึงคิดนานแล้วว่าไม่ว่าจะอิ่นหรูอวิ๋นก็ดีหรือจะฉีเสี่ยวฟางก็ดี หลังจากนี้เธอจะอยู่ห่าง ๆ เอาไว้
“เธอรู้จักหรือ?” ฉืออี้หย่วนเห็นสายตาของซูเสี่ยวเถียนจึงถามด้วยความสงสัย
เขารู้สึกเหมือนว่าโต๊ะข้าง ๆ จ้องมองโต๊ะของพวกเขาอยู่ตลอด
ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงที่กำลังมีเรื่องวุ่นวายอยู่หน้าตู้กระจกรับข้าวเมื่อครู่ก็อยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ด้วย
“รู้จักค่ะ เป็นรูมเมทของหนูเอง!” ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนพูดน้ำเสียงแปรเปลี่ยนอยู่บ้างเห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจมากนัก
ฉืออี้หย่วนคุ้นเคยกับนิสัยของซูเสี่ยวเถียนจะมองอารมณ์ของเด็กสาวไม่ออกได้อย่างไร
“ไม่ชอบหรือ?”
หลังพูดจบฉืออี้หย่วนก็นึกถึงเรื่องที่ซูเสี่ยวเถียนบอกกับตนก่อนหน้านี้ทันที หรือนี่คือพวกคนแปลก ๆ ที่เสี่ยวเถียนเจอ? คิดดูแล้วก็เป็นไปได้ สายตาของฉืออี้หย่วนมองไปยังอิ่นหรูอวิ๋นอย่างช่วยไม่ได้
อิ่นหรูอวิ๋นเดิมทีกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะดันไปเกี่ยวข้องกับฉีเสี่ยวฟาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา เมื่อมองตามสายตานั้นไปกลับเห็นฉืออี้หย่วนกำลังจ้องมองมาที่ตนเอง
ในตอนนี้อิ่นหรูอวิ๋นรู้สึกเพียงแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว ทั้งร่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา คนที่เธอถูกตาต้องใจกำลังจ้องมองมาด้วย ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นตนแล้วหรือ?
ผลจากการที่ตื่นเต้นมากเกินไปอิ่นหรูอวิ๋นจึงไม่ทันเห็นว่าสายตาของฉืออี้หย่วนผิดปกติ
เธอกำลังจินตนาการว่าถ้าตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปทักทายฉืออี้หย่วนหรือไม่
ในตอนนั้นเองที่ทางเข้าโรงอาหารพวกจ้าวหงเหมยที่เพิ่งเข้ามาก็เห็นภาพความวุ่นวายในโรงอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุของปัญหาเหมือนจะมาจากฉีเสี่ยวฟางที่เป็นรูมเมทของพวกเธอด้วย
“พวกเราต้องเข้าไปช่วยไหม?” ต่งเยี่ยนอันถาม
จ้าวหงเหมยและฉู่เยว่กลับส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
คนแบบนี้ยังจะไปช่วยเพื่ออะไร?
ช่วยแล้วก็ไม่แน่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีด้วย
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเธอลองช่วยไปแล้วครั้งหนึ่งหรือ?” จ้าวหงเหมยถาม “เธอลองดูเถอะว่าผลลัพธ์เป็นยังไง?”
บางคนต้องถูกความจริงฟาดเป็นเสี่ยง ๆ ถึงจะดี
“แต่ฉันจำได้ว่าอิ่นหรูอวิ๋นบอกว่าต้องการพาพวกเธอไปเลี้ยงข้าว แล้วทำไมฉีเสี่ยวฟางถึงไปขอรับข้าวด้วยตัวเองล่ะ?”
ในกลุ่มนั้นหรือจะมีเรื่องอะไรที่พวกเธอไม่รู้เกิดขึ้น?
หลังจากถูกฉู่เยว่เตือนอีกสองคนก็นึกขึ้นได้เช่นกัน
“ใช่ หรือฉีเสี่ยวฟางกับอิ่นหรูอวิ๋นจะมีเรื่องแตกหักกัน?” จ้าวหงเหมยคาดเดาด้วยความสงสัย
เด็กสาวทั้งสามคนกวาดสายตามองไปทั่วโรงอาหารตามสัญชาตญาณ
หลังจากนั้นพวกเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ที่แท้ไม่ใช่เพียงแค่อิ่นหรูอวิ๋นและอ้ายอวี้เท่านั้นที่อยู่ในโรงอาหารแต่ซูเสี่ยวเถียนก็อยู่ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นข้างซูเสี่ยวเถียนยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ด้วยคนหนึ่ง
ทั้งสามคนสบสายตากันอย่างว่องไวหลังจากนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ที่แท้สาวน้อยก็มีนัดกับหนุ่มหล่อคนนี้นี่เอง
ที่แท้ก็ทิ้งเพื่อนไปอยู่กับแฟน!
เดี๋ยวก่อนนะ ดูเหมือนตอนนี้เด็กหญิงจะยังไม่โตพอที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ?
ถ้าอย่างนั้นชายหนุ่มที่อยู่ตรงนี้เป็นใครกัน?
เธอมองเห็นท่าทีของเสี่ยวเถียนที่ยิ้มอย่างสดใส แต่ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงจ้องมองไปยังอิ่นหรูอวิ๋นล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นสายตายังดูไม่ดีนักอีกด้วย? หรือเสี่ยวเถียนจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับชายคนนั้นไปแล้ว?
บางคนกำลังคิดจะเดินไปทางพวกซูเสี่ยวเถียนอย่างอดไม่ได้
พวกเธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวทันใดนั้นจ้าวหงเหมยก็นึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะดึงทั้งสองคนไว้
“พวกเธอเดี๋ยวก่อน พวกเราไปรับข้าวก่อนเถอะ” ตอนที่เธอพูดก็ยังยกกล่องข้าวเปล่าในมือขึ้นมาด้วย
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็นึกขึ้นมาได้ พวกเธอมารับข้าวไม่ใช่หรือแต่กล่องข้าวยังว่างเปล่าอยู่เลย
เห็นว่าเพราะการโต้เถียงของฉีเสี่ยวฟางและป้าที่โรงอาหารยังไม่สิ้นสุด เดาว่าอีกสักพักก็คงยังไม่จบทั้งสามคนจึงไปหาแถวอื่นแล้วต่อแถว
ความจริงแล้วหลังจากฉีเสี่ยวฟางเริ่มก่อเรื่องวุ่นวาย ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ออกจากแถวนั้นไปต่อแถวอื่นแทน
แต่ยังมีบางส่วนที่ยังยืนรออย่างเด็ดเดี่ยวให้การทะเลาะสิ้นสุดลง
เธออย่าพูดเกินจริงไปหน่อยเลย ที่คุณป้าพูดก็ไม่ผิดถ้าเธออยากกินเยอะจริง ๆ หลังจากกินเสร็จแล้วค่อยกลับมาขอข้าวอีกครั้งก็ได้!”
สุดท้ายก็มีคนทนดูต่อไปไม่ไหวออกมาทวงความเป็นธรรมเอง
ความจริงแล้วคนที่มุงดูอยู่มีแค่ไม่กี่คนที่คิดว่าฉีเสี่ยวฟางจะสามารถกินข้าวได้มากขนาดนั้นจริง ๆ พวกเขาล้วนคิดว่าฉีเสี่ยวฟางคิดอยากเอาเปรียบคนอื่น
ฉีเสี่ยวฟางถูกตำหนิแบบนี้ก็รู้สึกน้อยใจ เห็นได้ชัดว่าเธอกินเยอะอีกฝ่ายบอกเองว่าหนึ่งเหมาจะเติมข้าวเต็มกล่อง แต่กลับไม่ยอมเติมข้าวให้เธอ
“เธออย่าสร้างปัญหาเลยถึงเธอจะไม่อยากกินข้าวดี ๆ แต่ฉันหิวแล้วและยังรอกินข้าวอยู่นะ!”
ฉีเสี่ยวฟางจนปัญญา ทำได้เพียงถือกล่องข้าวเดินไปทางอิ่นหรูอวิ๋นและอ้ายอวี้ด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
พวกฉู่เยว่และจ้าวหงเหมยเห็นภาพนี้ซึ่งซูเสี่ยวเถียนก็เห็นเช่นกัน
พวกเขาล้วนสงสัยว่าทำไมฉีเสี่ยวฟางที่มากินข้าวกับอิ่นหรูอวิ๋นต้องแยกตัวออกไปขอข้าวคนเดียว หรืออิ่นหรูอวิ๋นไม่เต็มใจจะเลี้ยงข้าวฉีเสี่ยวฟาง?
ซูเสี่ยวเถียนไม่มีเวลามากพอจะใคร่ครวญถึงปัญหานี้ เพราะอาหารที่พวกเขาสั่งมาเสิร์ฟแล้วสิ่งแรกที่มาถึงคือซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน
ซูเสี่ยวเถียนชอบรสหวานอมเปรี้ยวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานนี้ซูเสี่ยวเถียนยิ่งชอบเป็นอย่างมาก
คุณย่าซูมักจะทำรสชาตินี้ให้หลานสาวกิน
ฉืออี้หย่วนช่วยคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานวางในชามของซูเสี่ยวเถียน
“ลองชิมสิถึงจะเทียบกับฝีมือการทำอาหารของคุณย่าซูไม่ได้ แต่โดยรวมก็นับว่าไม่เลวเลย!”
ตอนนี้ฉืออี้หย่วนไม่ว่างไปจ้องมองอิ่นหรูอวิ๋นแล้ว
เรื่องกินสำคัญกว่า!
ซูเสี่ยวเถียนคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ
ฉีเสี่ยวฟางที่เพิ่งกลับมาเมื่อเห็นซูเสี่ยวเถียนคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน จากนั้นเมื่อมองวุ้นเส้นผักกาดขาวตุ๋นและข้าวในกล่องอาหารอีกครั้งก็รู้สึกว่าไม่น่ากินขึ้นมาทันที
วุ้นเส้นผักกาดขาวตุ๋นที่เดิมทีคิดว่ายอดเยี่ยมมาก แต่ในตอนนี้กลับมองว่าจืดชืดยิ่งนัก
เธอก็อยากกินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานทำยังไงดีเล่า? แต่ซี่โครงชิ้นหนึ่งราคาสี่เหมาเธอตัดใจซื้อไม่ได้หรอก
ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้อิ่นหรูอวิ๋นยังเลี้ยงเนื้อด้วย ตัวเองสั่งเนื้อมาด้วยก็คงไม่คุ้มนัก
ความรู้สึกนี้ไม่ใช่แต่ฉีเสี่ยวฟาง แม้แต่อ้ายอวี้และอิ่นหรูอวิ๋นก็ยังรู้สึกเช่นนี้
เพียงแต่อ้ายอวี้ยังตะกละมาก
และอิ่นหรูอวิ๋นก็อิจฉาซูเสี่ยวเถียนที่ได้รับการดูแลแบบนั้นจากผู้ชายที่โดดเด่นขนาดนี้ ทั้งยังอิจฉาที่ซูเสี่ยวเถียนได้กินเนื้อด้วย
เธอกำมือแน่น ลอบคิดว่าจะต้องรู้จักผู้ชายคนนี้ให้ได้ ผู้ชายคนนี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคนมีเงิน หากรู้จักกันจนถึงขั้นกลายเป็นแฟนกันแล้วไม่แน่อาจจะได้กินซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานก็ได้!
ซูเสี่ยวเถียนกินชิ้นหนึ่งก็เป็นอย่างที่ฉืออี้หย่วนพูด แม้จะเทียบกับที่คุณย่าทำไม่ได้แต่รสชาติก็ไม่เลว
“พี่อี้หย่วนที่พี่แนะนำมาดีมากเลยค่ะ พี่กินด้วยสิคะ!” ซูเสี่ยวเถียนคีบอาหารให้ฉืออี้หย่วนด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนผลัดกันคีบให้กัน แล้วหมูตุ๋นน้ำแดงก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ
พูดได้ว่ากับข้าวในโรงอาหารเยอะมากจริง ๆ!