บทที่ 713 พี่ชายที่เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่
บทที่ 713 พี่ชายที่เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่
การกินข้าวด้วยกันกับคนแปลกหน้าแน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดความไม่สบายใจ ไม่อย่างนั้นซูเสี่ยวเถียนคงชวนพวกเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว
อีกสองคนที่มีความคิดไม่ต่างกับต่งเยี่ยนอันล้วนแสดงท่าทีเห็นด้วย
ผู้ชายคนนั้นดูมีท่าทีเหมือนจะปฏิเสธผู้คนที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่เข้ากับคนง่ายนัก!
“ไม่ใช่แค่เพราะไม่มีที่นั่งเลยชวนพวกเธอมานั่งด้วย แต่หากพวกเธอไม่มา เดาว่าพวกอิ่นหรูอวิ๋นทั้งสามคนคงพยายามมานั่งกับพวกเราแทนพวกเธอ”
ซูเสี่ยวเถียนลดเสียงลงให้ได้ยินทั้งสามคน
อิ่นหรูอวิ๋นผู้หญิงคนนี้ช่างหน้าหนาจริง ๆ ไม่แน่อาจจะจริงอย่างที่พูด
ซูเสี่ยวเถียนไม่อยากให้โอกาสใดกับอิ่นหรูอวิ๋น
จ้าวหงเหมยมองไปทางที่นั่งของซูเสี่ยวเถียน
ยังเห็นอิ่นหรูอวิ๋นยืนอยู่ข้างโต๊ะของพวกซูเสี่ยวเถียนจริง ๆ กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับผู้ชายที่เย็นชาคนนั้นด้วยท่าทีราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม
คนแปลกหน้าสองคนมีอะไรให้พูดคุยกันหรือ?
เกรงว่าอิ่นหรูอวิ๋นจะไม่ได้ทำเพราะซูเสี่ยวเถียน แต่เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นหรือ?
ทุกคนล้วนโตเป็นสาวแล้วแค่คิดสักหน่อยย่อมเข้าใจ
แต่คนก็มีท่าทีปฏิเสธคนที่อยู่ห่างพันลี้อย่างชัดเจนแล้วอิ่นหรูอวิ๋นมองไม่ออกหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นอิ่นหรูอวิ๋นลืมเรื่องเมื่อครู่ที่ขัดแย้งกับซูเสี่ยวเถียนไปแล้วหรือ?
ในหอพักมีเรื่องแบบนั้นยังหักห้ามใจไม่ได้อีกหรือ?
หมายความว่าจะไปรวมกลุ่มกันหรือ?
ไม่รู้จริง ๆ ว่าตกลงผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปนั่งด้วยได้ไหม?” จ้าวหงเหมยถาม
อีกสองคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ
ถ้าไม่นั่งกินข้าวที่โรงอาหารก็ต้องกลับไปกินข้าวที่หอพัก และมันไม่ค่อยสะดวกมากนัก ไม่สู้ไปนั่งกับซูเสี่ยเถียนจะดีกว่า
ส่วนผู้ชายเย็นชาคนนั้นคิดว่าคงเห็นด้วยที่เสี่ยวเถียนทำแบบนี้แหละ!
ตอนที่ทั้งสามคนเดินตามซูเสี่ยวเถียนไป ทันใดนั้นก็เห็นอิ่นหรูอวิ๋นปิดหน้าวิ่งออกไปแล้ว!
ชุดกระโปรงของเธอตอนที่เคลื่อนไหวด้วยการวิ่งไปก็กระพือเล็กน้อย ทำให้รู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ทั้งสามคนหยุดฝีเท้า
ในขณะเดียวกันอ้ายอวี้ที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งก็รีบลุกขึ้นไล่ตามไป แต่ก่อนที่เธอจะตามไปก็อดไม่ได้ที่จะมองฉืออี้หย่วนอย่างดุดัน
ส่วนฉืออี้หย่วนก็ราวกับมองไม่เห็นแม้แต่น้อย
กับข้าวสองอย่างและซุปหนึ่งอย่างถูกเอามาเสิร์ฟแล้ว เขามองอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ขยับตะเกียบและรอซูเสี่ยวเถียนกลับมา
ส่วนอิ่นหรูอวิ๋นที่วิ่งออกไปเพราะคำพูดของเขา เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ
ช่วงหนึ่งปีมานี้ในมหาวิทยาลัยมีผู้หญิงที่เข้าหาเขาซึ่งเขาล้วนใช้วิธีเช่นนี้
หวังว่าคน ๆ นี้จะฉลาดขึ้นอีกหน่อยอย่าให้เขาต้องพูดอะไรที่ไม่น่าฟังไปมากกว่านี้
พวกซูเสี่ยวเถียนล้วนเห็นอิ่นหรูอวิ๋นวิ่งออกไป แต่ก็ทำเพียงราวกับว่ามองไม่เห็น
ตอนที่พวกเธอเดินผ่านโต๊ะของอิ่นหรูอวิ๋นกลับเห็นฉีเสี่ยวฟางยังคงนั่งกินข้าวอย่างสงบ ท่าทีที่ไม่สนใจเรื่องที่อิ่นหรูอวิ๋นวิ่งออกไปแม้แต่น้อย
พวกเธอล้วนประหลาดใจถึงอย่างไรก็กินข้าวด้วยกัน อิ่นหรูอวิ๋นวิ่งออกไปแล้วแม้จะไม่มีมารยาทแต่ฉีเสี่ยวฟางก็ควรจะออกไปดูสักหน่อย!
พวกเธอรู้เสียที่ไหนว่าสำหรับฉีเสี่ยวฟางแล้วโลกใบนี้กว้างใหญ่เรื่องกินข้าวสำคัญที่สุด
ขอเพียงเริ่มกินข้าวฉีเสี่ยวฟางก็จะไม่หยุดไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต้องรอให้เธอกินหมดก่อนถึงจะจัดการ
ด้วยเหตุนี้เวลาอยู่ที่บ้านก็ล้วนโดนดุด่าไปไม่น้อย
แต่จะด่าก็ด่าไปฉีเสี่ยวฟางแต่ไหนแต่ไรก็ล้วนไม่ใส่ใจ ครั้งต่อไปก็ยังเป็นเหมือนเดิม!
ฉีเสี่ยวฟางกินข้าวคำใหญ่ถึงขั้นไม่มองเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันของตัวเองเลย
เธอกำลังกินข้าวคำใหญ่
ตอนอยู่ที่บ้านเพราะเธอกินเยอะ แต่ข้าวขาวยังไม่เคยกินมื้อนี้ถือเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของเธอ
ในเมื่อกินอร่อยปริมาณอาหารก็ต้องเพิ่มขึ้น ฉีเสี่ยวฟางรู้สึกว่าอาหารยังไม่พอ เธอเงยหน้ามองไปยังที่ที่กำลังแจกอาหาร ครุ่นคิดว่ารออีกครู่หนึ่งจะไปเอาอาหารกลับมากิน
ในตอนนั้นเองที่เธอพบว่าเพื่อนทั้งสองคนของตัวเองหายไปแล้ว แต่ฉีเสี่ยวฟางที่จดจ่อกับการกินไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก หลังจากนั้นซูเสี่ยวเถียนก็พาเพื่อนร่วมห้องมาก็แนะนำฉืออี้หย่วนด้วยรอยยิ้ม
“พี่อี้หย่วนทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนฉัน นี่คือจ้าวหงเหมย นี่คือต่งเยี่ยนอัน ยังมีฉู่เยว่ด้วยที่เพิ่งได้พบกันวันนี้”
ฉืออี้หย่วนรอซูเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้มมาโดยตลอด ในตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าได้เผยออกมาแล้ว
ในเมื่อเป็นเพื่อนร่วมห้องที่เสี่ยวเถียนพามาอย่างเต็มใจ แน่นอนว่าย่อมมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ผู้หญิงที่ชื่อฉู่เยว่เพิ่งได้พบวันนี้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
โชคดีที่ในหอพักไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนอยู่ฝั่งคนน่ารังเกียจที่ชื่ออะไรอวิ๋นสักอย่างนั่น ไม่อย่างนั้นเขาคงพิจารณาที่จะเปลี่ยนหอพักให้เสี่ยวเถียนจริง ๆ หรือไม่ก็ให้เสี่ยวเถียนไปอยู่ห้องนอก
ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!
“สวัสดีฉันเป็นเอ่อ…พี่ชายของเสี่ยวเถียน เสี่ยวเถียนยังเด็กหลังจากนี้ต้องฝากพวกเธอดูแลแล้ว”
ฉืออี้หย่วนยืนขึ้นด้วยร่างสูงเพรียวบริสุทธิ์ ใบหน้ามีรอยยิ้มอบอุ่นพูดกับทั้งสามคน
เสียงของฉืออี้หย่วนนไพเราะเป็นอย่างมาก หากให้ใช้ประโยคเดียวอธิบายกล่าวได้ว่าเป็นเสียงที่ฟังแล้วหูเหมือนกับเคลือบทองคำ
เด็กสาวทั้งสามคนอายุยังน้อย หากได้ยินเสียงเช่นนี้แล้วไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อยก็นับว่าโกหกแล้ว
แต่ทั้งสามคนก็เข้าใจถ่องแท้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเธอคิด สุดท้ายแล้วมนุษย์จะสามารถเป็นห่วงเทพบนสวรรค์ได้อย่างไร?
“คุณเกรงใจกันเกินไปแล้ว คุณก็เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงหรือคะ?”
เพราะฉู่เยว่เจอฉืออี้หย่วนเป็นครั้งที่สองจึงเริ่มเปิดปากพูดเอง
“ใช่ปีนี้ฉันอยู่ปีสอง!” หลังจากฉืออี้หย่วนพูดจบก็กล่าวอีก “พวกเธอนั่งก่อนเลยเดี๋ยวฉันกลับมา!”
เห็นซูเสี่ยวเถียนพาเด็กสาวทั้งสามคนมา ฉืออี้หย่วนก็คิดว่ากับข้าวแค่สองอย่างน้อยเกินไป
เขาเดินไปสั่งอาหารอีกสองอย่างที่ตู้กระจกทั้งยังกำชับให้ทำเร็วหน่อย
เห็นฉืออี้หย่วนเช่นนี้ทั้งสามสาวก็ตื่นเต้น
“เสี่ยวเถียนนี่พี่ชายแท้ ๆ ของเธอหรือ? คะแนนความหน้าตาดีของพี่น้องเธอสูงมากเลย”
ต่งเยี่ยนอันพูดอย่างอิจฉา
รูปลักษณ์ของเธอนับว่างดงาม ดังนั้นคนจึงอิจฉาคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น
บางสิ่งสามารถใช้ความพยายามผ่านไปได้ แต่บางอย่างถูกตัดสินตั้งแต่เกิดไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ต่งเยี่ยนอันถึงขั้นมีบางครั้งที่น้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเหตุนี้ความคิดทั้งหมดของเธอจึงทุ่มเทไปกับการเรียนทั้งหมด จนสุดท้ายก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงได้ด้วยผลการเรียนยอดเยี่ยม และกลายเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว
“ไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ แต่พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต ตอนเด็กเขาช่วยฉันไว้ ทั้งสองครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน!” ซูเสี่ยวเถียนตอบด้วยรอยยิ้ม
สามสาวร้องโอ้โหขึ้นมาทันที ที่แท้ก็คือพี่ชายที่เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่*[1]
แต่บรรยากาศร่าเริงเช่นนี้ก็สิ้นสุดลงหลังจากฉืออี้หย่วนกลับมา
สุดท้ายพวกเธอก็ยังกลัวฉืออี้หย่วนอยู่บ้าง!
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง คู่รักหรือคู่แต่งงานที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กหรือเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาก่อน