บทที่ 727 คนบ้านเดียวกัน
บทที่ 727 คนบ้านเดียวกัน
ทั้งสองคนล้วนสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย… อ่า หรืออาจพูดได้ว่าเด็กสาวในชุดซอมซ่อเดินเข้ามาโดยที่ในมือถือกล่องข้าวอยู่ เมื่อทั้งสองคนเห็นพวกเธอก็มีสีหน้าระแวดระวังและไม่สบายใจ
การแต่งตัวเช่นนี้ตอนที่พวกฉู่เยว่เพิ่งเห็นวันนี้ก็มองอย่างแปลกตาจริง ๆ
นี่เป็นสไตล์เสื้อผ้าไม่กี่ปีก่อน ในตอนนี้ในเมืองมีคนที่สวมเสื้อผ้าสไตล์นี้น้อยมาก สองปีมานี้รูปแบบของเสื้อผ้านับวันยิ่งหลากหลาย
เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงเชย ๆ กับกางเกงสีน้ำเงินเห็นได้น้อยมาก
กลับกันเป็นซูเสี่ยวเถียนที่เมื่อเห็นครั้งแรกกลับไม่ได้รู้สึกแปลกนัก
ในช่วงปิดเทอมเธอกลับไปที่หมู่บ้านหนานหลิ่ง คนมากมายในหมู่บ้านหนานหลิ่งก็สวมเสื้อผ้าเช่นนี้
“เสี่ยวเถียนนี่คือรูมเมทของพวกเราที่เพิ่งมาถึงบ่ายวันนี้” ต่งเยี่ยนอันยิ้มแนะนำให้ซูเสี่ยวเถียน
พวกเธอทั้งหมดอยู่ในหอพักช่วงบ่ายจึงเจอทั้งสองคนแล้ว
“สวัสดีฉันชื่อหลี่เจี้ยนหง” หญิงสาวคนหนึ่งถูมือพูดอย่างเก้กัง
หญิงสาวอีกคนยิ่งเถรตรงกว่า พูดเสียงเบาเพียงสามพยางค์
“เฉียนเสี่ยวเป่ย”
ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจความหมายของสิ่งที่พูดว่าเฉียนเสี่ยวเป่ยคงเป็นชื่อของเธอ อย่าว่าแต่ชื่อนี้เป็นชื่อที่แปลกในชนบท พื้นที่ส่วนใหญ่ในชนบทก็ล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้และใบหญ้า
“สวัสดีพวกเธอ ฉันชื่อซูเสี่ยวเถียนมาถึงก่อนพวกเธอวันหนึ่ง”
ซูเสี่ยวเถียนลงจากเตียงสวมรองเท้าพูดอย่างสุภาพเรียบร้อย
ในตอนนี้ซูเสี่ยวเถียนเปลี่ยนไปสวมชุดนอนแล้ว เป็นชุดนอนที่ทำจากผ้าไหมสีขาว
โรงงานผ้าไหมจัดหาวัสดุนี้มาเพราะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ นอกจากการทำกระโปรงผ้าไหมสองตัวแล้ว วัสดุที่เหลือซูเสี่ยวเถียนก็ขอซูเถาฮวาให้ทำชุดนอนสำหรับคนในบ้านด้วย เพราะเหตุนี้คุณย่าจึงพูดย้ำว่าเสี่ยวเถียนเด็กคนนี้นับวันยิ่งสุรุ่ยสุร่าย
แค่จะนอนยังต้องใช้วัสดุราคาแพงเช่นนี้มาทำชุดนอน แต่วัสดุที่สวมใส่สบายทำให้เพียงสองสามวันคุณย่าซูก็เลิกพูดเรื่องนี้แล้ว
ซูเสี่ยวเถียนออกแบบรูปแบบชุดนอนทั้งสองชุดให้ตัวเอง
ครั้งนี้ก็เอามามหาวิทยาลัยด้วยชุดหนึ่ง
เฉียนเสี่ยวเป่ยและหลี่เจี้ยนหงทั้งสองคนถูกชุดนอนอันแวววาวอ่อนนุ่มภายใต้แสงไฟ ทำให้ดวงตาพร่ามัวไปครู่หนึ่ง
ชั่วขณะหนึ่งทั้งสองคนรู้สึกว่าเสื้อผ้านี้งดงามจริง ๆ
เด็กสาวตัวน้อยที่เรียนเก่งคนนี้ราวกับเป็นวิญญาณในหนังสือที่หลุดออกมายังโลกมนุษย์ซึ่งงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าที่เธอสวมทำมาจากอะไรถึงได้มีความแวววาวงดงามแบบนี้
เฉียนเสี่ยวเป่ยมองไปยังวัสดุเนื้อหยาบบนร่างของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจยิ่งขึ้น วันนี้พวกเธอได้ยินจากรูมเมทคนอื่นว่าในหอพักมีเด็กสาวอายุสิบสามอยู่คนหนึ่ง ตอนนั้นยังรู้สึกแปลกใจคิดไม่ออกว่าจะเป็นเด็กแบบไหน ถึงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่อายุสิบสาม
ที่บ้านเกิดของพวกเธออายุสิบสามปียังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า หรืออย่างมากก็ชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่งอยู่เลย มีบางคนเรียนไม่เก่งจึงไม่แน่ว่าอาจจะยังเล่นโคลนกับเด็กประถมปีที่สองปีที่สามอยู่เลย
วันนี้พวกเธอสองคนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับซูเสี่ยวเถียนมากจริง ๆ
ไม่มีคนตอบคำพูดของตัวเอง ซูเสี่ยวเถียนก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ
วันนี้คงไม่มีทางได้คุยต่อแล้วกระมัง
แม้จะตัดสินใจแล้วว่าต้องตั้งใจอ่านหนังสือ แต่เมื่อเห็นรูมเมทใหม่ซูเสี่ยวเถียนก็ยังรู้สึกว่าตัวเองควรจะพูดคุยอีกสักสองสามประโยค
เพิ่งจะวันที่สองเธอก็ทะเลาะกันจนมองหน้าอิ่นหรูอวิ๋นไม่ติดแล้ว กับฉีเสี่ยวฟางก็แทบจะเป็นคนแปลกหน้า รูมเมทสองคนใหม่นี้ยังต้องปฏิบัติด้วยอย่างจริงจัง
ไม่เช่นนั้นหากข่าวลือแพร่ออกไปคนอื่นจะต้องบอกว่า เธอเป็นพวกใช้อำนาจด้านสายสัมพันธ์รังแกคนอื่นแน่ สุดท้ายอิ่นหรูอวิ๋นก็ราวกับดอกบัวขาวที่บอบบาง ข่าวลือจะแพร่ออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
แต่ทั้งสองคนไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการเป็นผู้สนทนาเพราะมีท่าทีขี้อาย เธอเกรงว่าหากกระตือรือร้นเกินไปจะทำให้ทั้งสองคนตกใจกลัวได้
“เสี่ยวเป่ย เจี้ยนหง วันนี้พวกเธอบอกว่ามาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือใช่ไหม? ฉันได้ยินว่าทางตะวันตกเฉียงเหนือใหญ่มากมีวัวและแกะเต็มไปหมด ปกติก็ล้วนขี่อูฐด้วยใช่ไหม?”
ฉู่เยว่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันลุ่มลึก จึงรีบยิ้มพลางพูดเพื่อทำลายบรรยากาศอันแปลกประหลาด
ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนได้ยินคำว่าตะวันตกเฉียงเหนือในดวงตาก็แวววาวขึ้นหลายส่วน
เพื่อนร่วมห้องสองคนสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนจากตะวันตกเฉียงเหนือเหมือนกับเธอหรือ?
“พวกเธอมาจากตะวันตกเฉียงเหนือหรือ? มาจากเมืองไหนหรือ?” ซูเสี่ยวเถียนเริ่มถามเองด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
ท่าทางกระตือรือร้นอย่างกะทันหันของซูเสี่ยวเถียน ทำให้ในใจของหลี่เจี้ยนหงไม่ได้รู้สึกขลาดกลัวแล้ว
“ฉันมาจากไหวเฉิง ส่วนเสี่ยวเป่ยเป็นคนจากเมืองซินหลาน” ครั้งนี้หลี่เจี้ยนหงเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
“พวกเราสองคนเจอกันบนรถไฟ พอรู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันเลยมารายงานตัวด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าจะได้อยู่ห้องพักเดียวกันด้วย”
หลังจากหลี่เจี้ยนหงพูดจู่ ๆ ก็รู้สึกอึกอักขึ้นมาและรีบปิดปาก
เธอประหลาดใจที่พบเพื่อนร่วมหอพักระหว่างทาง แต่พวกคุณหนูในเมืองจะอยากฟังเธอพูดพล่ามหรือ?
ตอนอยู่บ้านเกิดได้ยินมาว่าคนในเมืองเจ้าอารมณ์เป็นอย่างมาก ให้เธอระวังเรื่องนี้หน่อยอย่าได้ไปทำให้คนขุ่นเคืองโดยไม่รู้ตัว
“เสี่ยวเป่ยมาจากเมืองซินหลานหรือ? บังเอิญจังฉันก็เหมือนกัน!” รอยยิ้มมุมปากของซูเสี่ยวเถียนกว้างขึ้น
ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนพูดประโยคนี้ออกมาทุกคนในห้องก็ล้วนมองเธออย่างแปลกใจ
ในความคิดของพวกเธอ ซูเสี่ยวเถียนน่าจะเป็นคนเมืองหลวงทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นคนจากเมืองซินหลานไปได้?
“บ้านเกิดของฉันคืออำเภอซางอวี๋ แล้วเสี่ยวเป่ยล่ะ?”
ได้พบคนบ้านเดียวกันในสถานที่อย่างเมืองหลวงช่างน่ายินดีจริง ๆ
ดวงตาของเฉียนเสี่ยวเป่ยเปล่งประกายขึ้นมาเป็นอย่างมาก เธอจ้องมองไปยังซูเสี่ยวเถียนด้วยสายตาแวววาวพลางถาม “ฉันก็มาจากอำเภอซางอวี๋ บ้านฉันอยู่ที่เหล่าหนิวโกวแล้วเธอล่ะ?”
แม้แต่ในตอนนี้ในใจของเฉียนเสี่ยวเป่ยจะยังไม่กล้าเชื่อ ว่าซูเสี่ยวเถียนเป็นคนอำเภอซางอวี๋ซึ่งเป็นอำเภอเดียวกันกับเธอ แต่ก็ยังเปิดปากถาม
“ไม่ไกลฉันอยู่หมู่บ้านหนานหลิ่ง”
ระยะห่างระหว่างทั้งสองหมู่บ้านค่อนข้างไกล แม้จะใช้รถยนต์ก็ยังใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง หากซูเสี่ยวเถียนไม่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งก็คงไม่รู้เหมือนกันว่ามีอำเภอซางอวี๋ยังมีอีกหมู่บ้านหนึ่งด้วย
ต่างจากหมู่บ้านหนานหลิ่งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองอำเภอประมาณหนึ่งชั่วโมง คนเหล่าหนิวโกวหากจะไปตัวเมืองอำเภอสักครั้งนับว่ายากลำบากมากทีเดียว แม้จะใช้รถยนต์ก็ยังต้องใช้เวลาสามชั่วโมง
ตอนที่ได้ยินชื่อสถานที่นี้ในชีวิตก่อนก็ยังเป็นในช่วงยุคเก้าศูนย์ ในหมู่บ้านนี้ยังมีคนที่ไม่เคยไปตัวเมืองอำเภอด้วย
เฉียนเสี่ยวเป่ยกลับไม่รู้ว่าหมู่บ้านหนานหลิ่งคือที่ใด เมื่อได้ยินซูเสี่ยวเถียนบอกว่าไม่ไกลในใจก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับซูเสี่ยวเถียน
เพียงแต่เมื่อมองเสื้อผ้าที่ซูเสี่ยวเถียนสวมใส่เธอก็ไม่กล้าพูดมากนัก
แม้จะเป็นคนจากอำเภอเดียวกันทั้งสองคนก็ยังต่างกันมาก
“เสี่ยวเถียนเธอกลายเป็นคนตะวันตกเฉียงเหนือตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จ้าวหงเหมยมองพิจารณาซูเสี่ยวเถียนขึ้น ๆ ลง ๆ รู้สึกว่ามองอย่างไรก็เหมือนคนจากเมืองหลวง แม้จะไม่ใช่คนเมืองหลวงก็น่าจะมาจากในเมืองใหญ่
“ฉันเป็นคนตะวันตกเฉียงเหนือ ครอบครัวพวกเราย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงเมื่อสองปีก่อน” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอธิบาย แต่กลับไม่รู้ว่าประโยคนี้ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนของเธอกระตุ้นความคิดของผู้อื่น