บทที่ 746 พวกเขาเป็นอะไรกัน
บทที่ 746 พวกเขาเป็นอะไรกัน
พี่น้องบ้านซูไม่รู้ว่าอิ่นหรูอวิ๋นเกลียดพวกเรามาก จนตั้งตัวกลายเป็นศัตรูกับพวกเขาในใจไปเสียแล้ว
ซูอู่ร่างเห็นน้องมาสักพักแต่ยังไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย จะใช้เวลาตอนนี้แหละเข้าไปหาน้องสาว
“เสี่ยวเถียน ทำไมได้เป็นหัวหน้าด้วยเนี่ย?”
มีเด็กโตกว่าน้องสาวตนเองตั้งหลายคนในคณะตั้งหลายคน แต่ให้เด็กอายุแค่นี้มาเป็นหัวหน้าชั้นปีเนี่ยนะ เหนื่อยเอาเรื่อง! แค่คิดหัวใจก็เจ็บปวดรวดร้าวไปหมด น้องเล็กควรได้รับการดูแลทะนุถนอมสิถึงจะถูก!
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน…
“อาจารย์คณะเราคืออาจารย์ฮั่วค่ะ!” เสี่ยวเถียนเอ่ยด้วยท่าทีไม่แยแส
“อะไรนะ? เขาสอนอยู่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่หรือ?”
“เห็นว่าเมื่อต้นปีย้ายมามหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงแล้วน่ะค่ะ”
ซูอู่ร่างไม่เข้าใจเลย ฮั่วซือเหนียนเป็นอาจารย์ เสี่ยวเถียนเป็นหัวหน้าชั้นปีคณะ นี่มันอะไรเนี่ย?หรือว่าเรื่องนี้จะมีเส้นสายเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย?
“อาจารย์ฮั่วบอกว่า คนที่ได้อันดับหนึ่งต้องเป็นหัวหน้าค่ะ!”
…
เสี่ยวเถียนเสียใจเหลือเกิน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงสอบให้ได้คะแนนน้อยกว่านี้แล้ว จะได้ไม่ต้องมาทำตำแหน่งนี้ ถึงจะเพิ่งเป็นได้ไม่ถึงวัน แต่เธอก็เสียใจจริง ๆ! ให้เธอนั่งเฉย ๆ เป็นนางฟ้าตัวน้อยแสนฉลาดมากความสามารถไม่ได้หรือไง?
ซูอู่ร่างตัดสินใจแล้วว่าจะหารือเรื่องนี้กับฮั่วซือเหนียนในภายหลัง
ตระกูลซูเฝ้าทะนุถนอมเด็กหญิงของบ้านมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่พอได้เข้ามหาวิทยาลัยทำไมถึงกลายเป็นว่าต้องมาเปลืองแรงใส่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย?
“ไว้ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกันค่ะ ยังไงก็รับหน้าที่มาแล้ว!”
ถึงจะเสียใจแต่เสี่ยวเถียนไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ
ถ้าคนอื่นมาได้ยินเธอพูดแบบนี้คงจะเรียกเธอว่าแวร์ซาย*[1]อย่างแน่นอน
การได้เป็นหัวหน้ารุ่นของคณะภาษาจีนถือได้ว่ามีประโยชน์ต่ออนาคตอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในเรื่องของทุนการศึกษาหรือการทำงาน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น แม้กระทั่งผลประโยชน์ซ่อนเร้นอย่างเข้าร่วมพรรคก็ยังมี
นี่คือเหตุผลที่เหล่านักศึกษาพยายามอย่างยิ่งที่จะได้มีตำแหน่ง
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ถ้าได้เป็นคนทำงานแล้วเรายังสามารถเข้าร่วมกับองค์การนักศึกษาได้ด้วยนะ
จ้าวหงเหมยยืดเส้นยืดสายอยู่พักหนึ่งเป็นอันเสร็จ จากนั้นจึงกวาดสายตามองหาเสี่ยวเถียนแล้วก็พบว่าเด็กสาวกำลังพูดคุยหัวเราะสนุกสนานกับครูฝึกอยู่
จ้าวหงเหมยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่สำคัญยิ่ง
เธอผลักฉู่เยว่ที่นั่งเกร็งขาอยู่บนพื้น
“เยว่เยว่ เธอว่าสองคนนั้นจะมีความสัมพันธ์อะไรหรือเปล่า?”
ฉู่เยว่สับสน มีความสัมพันธ์หมายความว่ายังไง? ก็แค่ครูกับนักเรียนไม่ใช่หรือ มีอะไรสำคัญหรือไง?
“หงเหมย เสี่ยวเถียนยังเด็ก อย่าพูดจาซี้ซั้ว!”
ฉู่เยว่ตอบทันควันเพราะกลัวว่าหงเหมยจะพูดอะไรที่ทำให้คนเข้าใจผิด
จ้าวหงเหมยกลอกตามองบน จริง ๆ เล้ย เธอดูเป็นคนแบบนั้นหรือไง? แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว แค่รู้ข่าวมานิด ๆ หน่อย ๆ เอง เข้าใจ๊?
“ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือ? เยว่เยว่ เธอทำฉันเสียใจนะเนี่ย!” จ้าวหงเหมยเอ่ยสีหน้าขมขื่น
ฉู่เยว่จ้องกลับ
“ก็ทั้งสองคนแซ่ซูเหมือนกัน ครูฝึกซูน่าจะเป็นพี่ชายเสี่ยวเถียนใช่ไหมเล่า?” จ้าวหงเหมยว่าต่อเสียงแผ่วเบา
ตอนเสี่ยวเถียนกระโดดเรียกพี่ชาย ฉู่เยว่ไม่อยู่พอดีเลยไม่ได้ยิน เพราะงั้นจึงไม่ได้คิดไปทางนั้นเลยสักนิด ได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายจึงหันไปมองเสี่ยวเถียนและอู่ร่างโดยไม่รู้ตัว
แค่หน้าตาก็คล้ายกันแล้ว ถ้าบอกเป็นพี่น้องก็คงเป็นไปได้ สิ่งที่จ้าวหงเหมยบอกน่าเชื่อถือจริง ๆ แต่ต่อให้เป็นพี่น้องก็อย่าเพิ่งพูดออกไปจะดีกว่า จิตใจคนเรายากหยั่งถึง ถ้ามีคนรู้เรื่องเข้าอาจมีข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไปก็ได้
อิ่นหรูอวิ๋นยังวิ่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ในสนาม คนที่รู้ก็บอกว่าเธอวิ่ง แต่คนไม่รู้ก็คงบอกเธอเดินอยู่
เรามีเวลาพักมากขึ้นกว่าเดิมเพราะต้องรอคนสุดท้ายวิ่งให้เสร็จ
“ไม่ต้องรอต่อก็แล้วกัน พวกเรามาเริ่มฝึกกันเลยดีกว่า เดี๋ยวเวลาจะไม่พอเอาซะ!” ซูอู่ร่างโพล่งขึ้นมาหลังจากเห็นพวกนักศึกษาพักกันพอแล้ว
ตอนนี้โรงอาหารยังไม่เปิดให้บริการ ถ้าเราไม่รีบฝึกให้เสร็จจะกลับไปกินข้าวเย็นไม่ทัน
ทันใดอิ่นหรูอวิ๋นที่กำลังเดินอยู่ในสนาม กำลังวิ่งได้ใช้สายตามองไปทางเพื่อน ๆ ที่นั่งพักกันอยู่ ตนได้แต่นึกไม่พอใจที่มีแค่ตนต้องวิ่งท่ามกลางแสงแดด
บางทีเธอคนนี้คงชินกับการแสร้งเป็นคนอ่อนแอ ทันใดนั้นก็เริ่มร้องสะอื้นออกมา
ตอนนี้ในสนามมีคนอยู่เยอะมาก หลาย ๆ คนคิดว่าอิ่นหรูอวิ๋นในตอนนี้น่าสงสารจริง ๆ ทำไมถึงเป็นคนเดียวที่โดนครูฝึกลงโทษตั้งแต่วันแรกเลยล่ะ?
อันที่จริงครูฝึกคนอื่น ๆ และซูอู่ร่างคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี ทว่าพวกเราก็ยังต้องประหลาดใจ
เราปรึกษากันแล้วว่าหากไม่จำเป็นจะไม่ลงโทษนักศึกษาเพียงคนเดียว โดยเฉพาะผู้หญิงที่จะไม่สามารถเดินได้อย่างแน่นอน
ปกติซูอู่ร่างไม่ใช่พวกรับมือยากนี่นา แล้วทำไมถึงจับนักศึกษาหญิงมาลงโทษอยู่คนเดียวล่ะ?
พอมองไปทางซูอู่ร่างก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายยังเด็กเกินไปก็คงคิดว่าอู่ร่างสนใจในตัวเธอแล้ว และเมื่อได้เห็นท่ายืนมาตรฐานของทหารที่เธอทำ จะยิ้มให้อีกฝ่ายก็คงไม่แปลก!
อิ่นหรูอวิ๋นเห็นคนอื่นเริ่มฝึกยืนท่าทหารยิ่งอารมณ์ดี ถึงขนาดยิ้มออกมาด้วยซ้ำ
เธอเดินเล่นรอบ ๆ สนามแบบนี้จนครบ จากนั้นก็จะถึงเวลาอาหารเย็น ตัวเธอก็พ้นจากหายนะแล้ว
ตอนนี้ได้แต่คิดอย่างภาคภูมิใจโดยไม่ได้สนใจเท้าตัวเองเลย
วันนี้เรียนรู้วิธีใช้ผ้าพันขาจากซูเสี่ยวเถียนมา เธอเรียนจากการมองเฉย ๆ และรู้ได้เลยว่าตัวเองฉลาดจริง ๆ แต่ความจริงแค่มองว่าทำได้ไม่ได้หมายความว่าลงมือจริงจะทำเป็น และผ้าที่เธอพันอยู่ในตอนนี้มันไม่ได้ถูกต้องเลยสักนิด
ยิ่งต้องออกตัววิ่งด้วยแล้วจึงทำให้มันหลุดรุ่ยออกมา
อิ่นหรูอวิ๋นผู้แสนภาคภูมิใจสะดุดมันจนล้ม
เธอล้มในท่าคุกเข่า ใบหน้าที่เดิมเติมไปด้วยสิ่งสกปรกบิดเบี้ยวยามนึกถึงสภาพอันเลวร้ายของตัวเอง
ตัวเธอที่ไม่พออกพอใจ กอดเข่าร้องไห้ลั่นอย่างน่าสมเพช
อีกฟากของสนาม ซูอู่ร่างกำลังแก้ท่ายืนให้พวกนักศึกษาอยู่ แถมคนอื่น ๆ ก็จัดการเรื่องของตัวเองด้วย จึงไม่มีใครสนเธอ แต่คนจากคณะอื่นเห็นภาพนี้เลยรุดเข้าไปถามไถ่
“เธอ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ขาหักหรือเปล่า?”
“ฉันก็เห็นว่าเธอวิ่งไม่เร็วนี่ ทำไมล้มเล่า?”
ทุกคนเอ่ยถาม แต่คนร้องไห้กลับไม่ตอบ
ในตอนนั้นเองที่ตนนึกเรื่องดี ๆ ออก
ถ้าแกล้งเจ็บขึ้นมา จะหนีการฝึกตลอดครึ่งเดือนนี้ได้ใช่ไหม?
[1] เป็นศัพท์วัยรุ่นยอดฮิตของจีน ในที่นี้มีความหมายว่า คนที่มีพฤติกรรมหรือลักษณะชอบอวดตน อวดข้าวของ ชีวิตอันหรูหราของตัวเอง