บทที่ 767 จู่ ๆ คุณปู่ซูก็กลายเป็นคนโง่เขลา
บทที่ 767 จู่ ๆ คุณปู่ซูก็กลายเป็นคนโง่เขลา
เสี่ยวเถียนอาศัยจังหวะที่พี่ชายไม่ทันได้รู้ตัวออกไปข้างนอก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับตะกร้าใบใหญ่หลายใบ
“พี่ รีบออกมาช่วยหนูหน่อย!” เด็กสาวยืนเรียกอยู่หน้าประตู
อู่ร่างกำลังสงสัยเลยว่าสาวน้อยไปไหนแต่เช้า ตอนแรกเขาว่าจะตามออกไป แต่พอคิด ๆ ดูอีกครั้ง น้องก็เป็นนักศึกษาแล้ว เธอควรมีอิสระในการใช้ชีวิตของตนเอง
ตอนที่ได้ยินเสียงน้องสาวตะโกนเรียกจึงรีบออกไปทันที
“ไปทำอะไรมาตั้งแต่เช้าเนี่ย?” เห็นตะกร้าพวกนั้นเขาก็เอ่ยถาม
“ซื้อผักค่ะ เราไม่ได้จะกินปิ้งย่างกับหม้อไฟกันเหรอ?” เธอยิ้มและบอกให้พี่มาแบกตะกร้า
“ของเยอะแยะขนาดนี้ เธอขนกลับมายังไงเนี่ย?”
“พี่ไม่รู้เหรอว่ามันมีรถสามล้อให้เช่า?” เสี่ยวเถียนหมดคำจะพูด
อู่ร่างหัวเราะแหะ ๆ แล้วกุลีกุจอทำตามคำสั่งของน้องสาว
ทางฝั่งหออีหมิง ทุกคนกำลังวิ่งยุ่งวุ่นวายไปหมด ปกติร้านจะเน้นขายอาหารกลางวันและเย็นเป็นหลัก ตอนเช้าจึงไม่ค่อยยุ่งเท่าไรนัก แต่วันนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบเข้าร้านก็หัวหมุนทันที
ไม่ใช่แค่ตัวคุณย่าซูเท่านั้น แต่ทั้งคุณปู่ซู เหลียงซิ่ว หลี่หลินหลิน และเหล่าพนักงานเสิร์ฟต่างยุ่งกันจนหัวหมุน
หลานชายชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ยกโขยงกันมามากมายเป็นสิบ ๆ คน ตอนนี้จึงกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ เป็นห่วงว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่พอกินกัน
“ยายแก่ แกไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้หรอกน่า เด็ก ๆ มันก็โตกันแล้ว ดูแลตัวเองได้” สามีทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม
เมื่อสิ้นประโยคนั้น กลับเห็นสายตาจ้องเขม็งของภรรยา
“แกจะไปรู้อะไรล่ะตาแก่ เด็ก ๆ พวกนี้ปกป้องครอบครัวและประเทศชาตินะ! ปกติก็ฝึกกันหนักอยู่แล้ว ไม่คิดจะให้พวกเขาได้กินอาหารบำรุงร่างกายเลยหรือไง?”
“อีกอย่าง เด็ก ๆ ก็มากันเยอะมาก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มากินอาหารที่บ้านของเรานะ” ถ้าไม่ใช่เพราะหลานไม่ยอม เธอคิดจะปิดร้านเพื่อเลี้ยงทหารพวกนี้แล้วจริง ๆ
คุณปู่ซูได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่คิดว่า ไม่พูดอะไรดีกว่า ถ้าขืนยังปริปากต่อไป ตาแก่คนนี้ได้กลายเป็นคนโง่แน่
ทุกคนจึงได้แต่ปิดปากเงียบกริบ
ส่วนคุณย่าซูกำลังนึกอยู่ว่าให้สะใภ้สามกลับบ้านไปช่วยเด็ก ๆ เตรียมอาหารดีหรือไม่
“แม่คะ เสี่ยวเถียนบอกฉันก่อนออกมาค่ะว่าลูก ๆ จัดการกันเองได้ ไม่ต้องให้ฉันกลับไปค่ะ” เหลียงซิ่วยิ้ม
ได้ยินว่าหลานรักจะทำเองแกก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นก็เตรียมทำอาหารกลางวันอันหรูหราโดยไม่ยอมพักเลย เพราะไม่คิดว่าแค่หม้อไฟกับปิ้งย่างเด็ก ๆ พอกิน
ความคิดของคนรุ่นก่อน การกินข้าวก็คือกินข้าวจริง ๆ ในเมื่อกินข้าวเราก็ต้องมีเนื้อสัตว์บ้าง คราวนี้ไม่มีซี่โครงในรายการ ถึงจะอร่อยแต่ไม่เหมาะให้พวกหนุ่มสาวกินหรอก
จากนั้นก็เตรียมน้ำซุปกระดูกหม้อใหญ่
กลิ่นอันเข้มข้นของซอสที่ผสมเข้ากับกลิ่นเนื้อ ขนาดคุณปู่ได้กลิ่นยังอดหิวไม่ได้ แต่เขาแก่แล้ว ฟันก็ไม่ดี ได้แค่ดมเท่านั้นละ
นอกจากกระดูกผัดซอสแล้วคุณย่าซูยังเตรียมปลาอีกสองตัว ทำเป็นปลาเปรี้ยวเผ็ดสไตล์บ้านเกิด เด็ก ๆ ที่บ้านชอบจานนี้มาก คุณย่าซูจึงคิดว่าเด็กคนอื่น ๆ น่าจะชอบเหมือนกัน
ส่วนสตูว์เนื้อวัว เธอเตรียมหม้อใบใหญ่ออกมา มันใหญ่มากจนคุณปู่ซูตกตะลึง เด็ก ๆ บอกจะกินหม้อไฟ ไหนจะอาหารที่ยายเฒ่าเตรียมไว้อีก แค่นี้ก็น่าพอกินแล้วไม่ใช่เรอะ แถมอาหารเยอะขนาดนี้จะขนไปยังไง
“ยายเฒ่า อาหารเยอะขนาดนี้แล้วจะขนกันไปยังไง?”
“ก็หาสามล้อขนไปไม่ได้หรือไงเล่า” คุณย่าซูเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เอาเถอะ ยังไงภรรยาก็จัดการเสร็จสรรพแล้ว เขาไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า
“พ่อ เสี่ยวอู่บอกว่าจะมาตอนเที่ยงค่ะ เราไปหารถแล้วเดี๋ยวให้หลานมาจัดการก็พอค่ะ!” เหลียงซิ่วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาเป็นเด็กผู้ชาย ยังไงก็กินกันหมดอยู่แล้ว”
เด็ก ๆ มารวมตัวน่าจะเล่นกันจนถึงเย็น อาหารไม่น่ามีพอให้เตรียมเพิ่มแล้วล่ะ
ทางฝั่งลานบ้าน สองพี่น้องกำลังยุ่งตัวเป็นเกลียวจนไม่พูดไม่จากันสักคำ ล้างผักเสร็จเรียบร้อย เนื้อที่หั่นเตรียมไว้ก็ต้มจนสุกหมดแล้ว
“พี่ หนูว่าเราเตรียมเยอะไปหรือเปล่าคะ?”
“พวกเขากินหมดอยู่แล้วล่ะ น้องไม่ต้องห่วง” อู่ร่างขบคิด
“หนูว่าย่าต้องเตรียมของกินไว้อีกเพียบแน่เลย ไว้เราค่อยไปรับแล้วกัน”
เสี่ยวเถียนรู้จักนิสัยของย่าตัวเองดี แกไม่มีทางทำอาหารน้อย ๆ หรอก เผลอ ๆ ทำมาเต็มโต๊ะด้วยซ้ำ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง เราบอกแล้วนะว่าจะกินหม้อไฟน่ะ?” อู่ร่างลังเล
“พี่ยังไม่รู้จักย่าอีกเหรอคะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มอย่างซุกซน
หรือความจริงแล้วเขาจะไม่รู้จักคุณย่าจริง ๆ นะ
เขารู้อยู่แล้วว่าปู่ย่าเป็นคนใจดี และไม่ตระหนี่ถี่เหนียวยามต้องช่วยเหลือผู้อื่น แต่ตอนนี้พวกท่านกำลังเปิดร้านอาหาร เป็นพ่อค้าแม่ค้าก็ต้องเป็นนักธุรกิจที่เฉลียวฉลาดใช่ไหม?
เสี่ยวเถียนล้างแอปเปิ้ลก่อนกัดกินหนึ่งคำ
ตอนนี้ใกล้เที่ยงวันแล้ว พอรู้เวลาเท่าไหร่ก็ถึงตอนที่พี่ห้าต้องไปเอาอาหารและเครื่องดื่มที่ย่าเตรียมไว้ที่ร้านแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น
“มากันแล้วเหรอ?” เด็กสาวยิ้มร่าก่อนเดินไปเปิดประตู
พวกจ้าวหงเหมยเดินเข้ามาก็เจอภาพเสี่ยวเถียนถือแอปเปิ้ลลูกใหญ่
“เสี่ยวเถียน ครอบครัวเธออาศัยอยู่ที่นี่เหรอ? ลานบ้านใหญ่มาก!” จ้าวหงเหมยมองไปรอบ ๆ แววตากลมเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เธอไม่ใช่คนโง่ที่มองไม่ออกว่าลานบ้านแห่งนี้ยังมีการคงความเป็นเรือนสี่ประสานแบบเดิมเอาไว้ มีตัวเรือนหลายเรือน แค่มองก็รู้เลยว่าครอบครัวเพื่อนอาศัยอยู่ที่นี่
หลายปีที่ผ่านมามีหลาย ๆ คนอาศัยอยู่ที่ลานบ้าน บางที่อยู่กันหลายครัวเรือนด้วยซ้ำ ถ้าอยู่ไม่พอจะทำยังไง? ก็ต่อเติมเรือนเข้าไปอีก
เพราะงั้นลานบ้านหลายแห่งจึงเต็มไปด้วยตัวเรือนทั้งหมด ไม่มีที่ให้ขยับแขนขาด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้ลานบ้านเสี่ยวเถียนน่าตื่นตาตื่นใจได้ยังไงล่ะ?
“ใช่แล้ว รีบเข้ามาเร็ว กำลังรออยู่เลย!” เสี่ยวเถียนดึงแขนเพื่อนด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นก็ตามด้วยฉู่เยว่ ต่งเยี่ยนอัน ฉีเสี่ยวฟาง เฉียนเสี่ยวเป่ย และหลี่เจี้ยนหง อย่างที่คาดไว้ อิ่นหรูอวิ๋นไม่ได้มาด้วย ที่จริงยังนึกห่วงอยู่เลยว่าถ้าอีกฝ่ายมา ข้าวมื้อนี้คงไม่อร่อยแล้ว
เพราะไม่รู้ว่าในหัวผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรแผลง ๆ อยู่หรือเปล่า ถึงจะอยู่หอเดียวกันแต่ว่ากันตรง ๆ แล้ว เราก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรต่อกันเสียหน่อย แล้วคิดจะสร้างปัญหาขนาดนั้นได้ยังไง?
ทีแรกจ้าวหงเหมยคิดจะอธิบายให้ฟัง แต่พอเห็นท่าทางเพื่อนก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป