บทที่ 770 ความกังวลของเฉียวกวางหย่วน
บทที่ 770 ความกังวลของเฉียวกวางหย่วน
กระดูกผัดซอสที่คุณย่าซูทำ ใช้สูตรเฉพาะของตัวเอง คุณย่าซูทำอาหารโดยไม่มีอาจารย์มาถ่ายทอดวิชาให้เหมือนคนอื่น แต่อาหารที่เธอทำจะเน้นเป็นรสชาติถูกปากสมาชิกในบ้านเป็นหลัก
เพราะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือมานาน ดังนั้นอาหารของคุณย่าซูจึงมีลักษณะเด่นของทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างชัดเจน หลังย้ายมาที่เมืองหลวงก็มุ่งเน้นไปที่รสปากของคนเมืองหลวงอย่างจริงจัง และปรับรสชาติให้ถูกปากคนเมืองหลวงมากขึ้น
วัตถุดิบที่ใช้ คุณอย่าซูให้ความสำคัญกับความเข้ากันเป็นอย่างมาก เครื่องปรุงหลักจะใช้เป็นโป๊ยกั๊ก ผลยี่หร่า อบเชย พริกแห้ง ฮวาเจียว และใบกระวาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเพิ่มพวกซอสถั่วเหลืองสูตรพิเศษ ซอสปรุงรส ต้นหอม ขิง เหล้าต้ม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ พริกไทยป่น และอื่น ๆ
การจัดสรรเครื่องปรุงแต่ละชนิด คุณย่าซูใส่ใจถึงความเข้ากันเป็นอย่างดี ต้องกล่าวว่าคุณย่าซูมีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหารมาก
วัตถุดิบทุกอย่างเพียงผ่านมือเธอราวกับว่าจะอร่อยขึ้นเสียอย่างนั้น
กระดูกผัดซอสที่คุณย่าซูทำรสชาติยอดเยี่ยมมากอย่างไม่อาจหาที่ใดเปรียบ เพียงแต่ไม่ว่าตอนนี้คุณย่าซูจะทำกระดูกผัดซอสกี่มากน้อย สิ่งสำคัญก็คือการทำกระดูกผัดซอสต้องเสียทั้งเวลาและเสียแรงกายมาก
ทุกครั้งที่ทำกระดูกผัดซอสไม่ใช่ว่าใช้เวลาเพียงพักเดียวจะเสร็จได้ ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่เสมอ อย่างเช่นเช้าวันนี้คุณย่าซูตั้งใจมาที่หออีหมิงล่วงหน้า ยุ่งอยู่สามสี่ชั่วโมงจึงเพิ่งจะทำกระดูกผัดซอสเสร็จ
กระดูกผัดซอสเลือกใช้เป็นซี่โครงหมู อันดับแรกต้องเอาซี่โครงหมูไปแช่ในน้ำ ล้างเลือดออกก็เป็นอันใช้ได้ หลังจากล้างเลือดจนสะอาดแล้วก็เทน้ำลงหม้อ เติมเหล้าลงไป ต้มด้วยไฟแรง และคอยตักฟองทิ้ง ต้มต่อราวห้านาทีก่อนจะตักกระดูกหมูออก หลังตักออกก็ล้างให้สะอาดและรอให้สะเด็ดน้ำ
จึงนับว่าสิ้นสุดขั้นตอนแรก
ขั้นตอนที่สองคือ เอาต้นหอมและขิงที่หั่นเป็นชิ้นไปผัดในกระทะ เติมซอสปรุงรสและซอสถั่วเหลืองสูตรพิเศษลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงอื่น ๆ ส่วนสุดท้ายก็ใส่กระดูกหมูที่จัดการล้างจนสะอาดแล้วลงไป และเริ่มผัดอีกครั้ง
กระดูกผัดซอสหลายสิบชิ้นพลิกผัดไปมาอยู่ในหม้อใบใหญ่ขนาดนั้นย่อมเป็นงานที่ใช้กำลังจริง ๆ
อายุคุณย่าซูนับวันก็ยิ่งมากขึ้นจึงไม่มีแรงมากพอผัดซี่โครงหมู นี่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งว่าทำไมตอนนี้คุณย่าซูไม่ทำกระดูกผัดซอส
วันนี้เพื่อหลานชายจึงลงมือทำกระดูกผัดซอสเป็นพิเศษมาหนึ่งหม้อ แต่อายุของหญิงชราก็มากแล้วร่างกายจึงรับไม่ไหว พลิกผัดไปไม่กี่ครั้งก็เหนื่อยจนหายใจหอบ สุดท้ายก็เป็นเหลียงซิ่วที่ผัดจนเสร็จ
เหลียงซิ่วยังอายุน้อย ไม่กี่ปีมานี้ได้เรียนรู้กับคุณย่าซูจนมีฝีมือไม่ธรรมดา
“สะใภ้สาม ไม่ไหวเลยฉันแก่แล้วหลังจากนี้ต้องส่งต่อให้เธอแล้วล่ะ!” คุณย่าซูทอดถอนใจพลางพูด
“คุณแม่คะร้านนี้จะขาดคุณแม่ไปไม่ได้ ฉันยังทำไม่ได้หรอกค่ะ!” เหลียงซิ่วผัดกระดูกหมูไปก็ยิ้มไปพลางพูดไปด้วย
เหลียงซิ่วกังวลว่าตัวเองยังขาดจิตวิญญาณของทักษะในครัวอยู่จึงจนใจเป็นอย่างมาก เรื่องทักษะหากหมั่นฝึกฝนย่อมทำได้ แต่เรื่องของจิตวิญญาณนับว่ายากจริง ๆ
“เธอทำได้ดีมากแล้วจริง ๆ”
เหลียงซิ่วเป็นแบบอย่างของผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์แต่มีความเพียรพยายามมากพอ ในจุดนี้คุณย่าซูก็ยังชื่นชมจริง ๆ ด้วยความเพียรพยายามนี้ของเหลียงซิ่วในอนาคตจะต้องสามารถทำได้แน่นอน
“คุณแม่คะ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะคุณแม่สอนมาเป็นอย่างดีค่ะ” เหลียงซิ่วยิ้ม
“หลังจากนี้เรื่องในครัวฉันจะส่งต่อให้เธอส่วนฉันจะคอยดูอยู่ข้าง ๆ ผัดใกล้เสร็จแล้วก็เติมน้ำ แล้วค่อยใส่ซีอิ๊วดำ ตามด้วยพริกไทยป่นกับเครื่องเทศนะ”
คุณย่าซูนั่งอยู่ข้าง ๆ พูดกับเหลียงซิ่วไปก็ชี้แนะเหลียงซิ่วไปด้วย
แม้เหลียงซิ่วจะสับสนเป็นอย่างมากที่จู่ ๆ แม่สามีก็บอกว่าต้องการให้ตัวเองทำงานในครัว แต่แม่สามีนับวันก็ยิ่งอายุมากขึ้นจริง ๆ ริ้วรอยลึกขึ้น แม้แต่เส้นผมก็เปลี่ยนเป็นสีขาว
ไม่อาจให้คนเฒ่าคนแก่ในบ้านทำงานยุ่งอยู่ในครัวไปตลอดชีวิตได้
ในระยะนี้เหลียงซิ่วและซูเหล่าซานทั้งสองคนจึงคุยเรื่องนี้กันอยู่บ้างเป็นบางครั้ง
“เธอไม่ต้องกังวล สองปีนี้ฉันยังสามารถมาชี้แนะให้เธอในครัวได้ มีเวลาสองปีฝีมือเธอก็สามารถตั้งหลักในเมืองหลวงได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว” คุณย่าซูมองความสับสนของลูกสะใภ้ออกก็ยิ้ม หลังจากนั้นก็เสริมว่า “พวกเรายังสามารถจ้างพ่อครัวได้ด้วย เรื่องในครัวขอเพียงใช้วัตถุดิบที่ไม่มีปัญหา และใช้ใจทำอาหารออกมาย่อมไม่ออกมาแย่เกินไปหรอก”
คำพูดนี้ของคุณย่าซูมีคุณธรรมจริง ๆ
ร้านอาหารหลายแห่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายแล้ว จึงเลือกใช้วัตถุดิบที่ผู้อื่นไม่ใช้แล้ว โดยเฉพาะสินค้ามีไส้อย่างพวกซาลาเปายิ่งเกิดปัญหาเช่นนี้ได้ง่าย แต่ร้านอีหมิงแต่ไหนแต่ไรก็ล้วนปรับปรุงพัฒนาทางด้านนี้ให้ดีขึ้น หากไม่ใช่ส่วนผสมที่ดีที่สุดก็จะไม่ใช้
คุณย่าซูพูดเสมอว่าหากคนต้องการหาเงินก็อย่าได้ขาดความรู้ผิดชอบชั่วดี
เหลียงซิ่วพยักหน้า
สองแม่สามีลูกสะใภ้ยุ่งกับการเตรียมอาหารให้เพื่อนทหารของซูอู่ร่างมาตั้งแต่เช้า โดยพูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตตัวเองไปไม่น้อย
เมื่อผ่านช่วงเช้าไปความสัมพันธ์ของสองแม่สามีลูกสะใภ้ก็ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น
ส่วนซูอู่ร่างตอนที่ให้ไปเอาอาหารก็รู้สึกแปลกใจ แต่เพราะยังมีเรื่องอื่นด้วยซูอู่ร่างจึงยังไม่ได้ถาม
เฉียวกวางหย่วนเห็นพวกทหารใต้บังคับบัญชาตะกละมาก เขาก็รู้สึกเสียหน้า เจ้าพวกหน้าเหม็นพวกนี้แต่ละคนทำไมจึงหน้าหนาเช่นนี้? ของที่ตระกูลซูเตรียมไว้ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารจานเนื้อจริง ๆ ตระกูลซูจะต้องจ่ายเงินไปมากเท่าไหร่กัน?
แม้ตอนนี้จะไม่ต้องการตั๋วเพื่อกินเนื้อแล้วแต่ก็ยังต้องใช้เงิน เทียบกับเมื่อสองปีก่อนก็ยังราคาสูงขึ้นด้วย
หากพวกเขากินมื้อนี้ไปทุกคนในครอบครัวจะไม่กล้าเปิดหม้อ*[1] กันหรือเปล่า?
“ผู้บังคับเฉียวท่านไม่กินก่อนเหรอครับ?” ซูอู่ร่างเรียกเฉียวกวางหย่วน
เฉียวกวางหย่วนดึงให้ซูอู่ร่างเข้ามา
“อู่ร่างเจ้าเด็กคนนี้จะเกินไปแล้ว มาเลี้ยงพวกเราแบบนี้จนทำให้คนในครอบครัวไม่มีข้าวกินได้อย่างไร?”
ซูอู่ร่างตกตะลึง เขาแสดงท่าทียากจนถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ผู้บังคับเฉียว ความเป็นอยู่ของครอบครัวพวกเราไม่มีปัญหาจริง ๆ ครับ!” ซูอู่ร่างพูดอย่างระมัดระวัง
“ฉันจะไม่รู้สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนายได้อย่างไร? ถุงเท้าคู่หนึ่งนายยังตัดใจทิ้งไม่ลงจนต้องปะครั้งแล้วครั้งเล่า ยาสีฟันก็ใช้จนบีบไม่ออกแล้วจึงจะทิ้ง”
ได้ยินคำพูดนี้ของเฉียวกวางหย่วน ซูอู่ร่างก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าดูเหมือนจะเป็นเพราะการกระทำของเขาที่ผ่านมาจริง ๆ ทำให้เฉียวกวางหย่วนคิดว่าครอบครัวตัวเองยากจน
“ผู้บังคับเฉียวครับ การประหยัดเป็นคุณธรรมที่ดีงามไม่ใช่เพราะยากจน สภาพครอบครัวของพวกผมนับว่าไม่เลวครับ ที่บ้านพวกเราเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งธุรกิจนับว่าไปได้ดีครับ!” ซูอู่ร่างร้อนรน
หากไม่พูดให้ชัดเจนเกรงว่าวันนี้ผู้บังคับเฉียวคงไม่กินอาหารมื้อนี้แล้ว ต่อให้กินก็คาดว่าคงยังต้องการทิ้งเงินหรือบางสิ่งไว้ด้วย
นั่นไม่เข้าท่าเลย!
“จริงหรือ?” เฉียวกวางหย่วนถาม ในเมื่อเปิดร้านอาหารทำไมยังต้องมาเตรียมอาหารที่บ้านด้วย?
“ผู้บังคับเฉียวเป็นความจริงครับ ย่าของผมยังบอกด้วยว่าวันนี้จะปิดร้านอาหารหนึ่งวันเพื่อต้อนรับเหล่าสหายร่วมรบ แต่ผมปฏิเสธจึงตัดสินใจมากินกันที่บ้านครับ”
เฉียวกวางหย่วนได้ยินซูอู่ร่างพูดแบบนี้ ก็มองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยซูเสี่ยวเถียนที่อยู่ไกล ๆ
ซูเสี่ยวเถียนสวมชุดกระโปรงยาวไหมแท้งดงามมาก
เด็กสาวกำลังพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องด้วยรอยยิ้มน่ารัก แต่ละท่วงท่าล้วนสุภาพเรียบร้อย ท่าทางนั้นดูเหมือนเด็กที่มาจากครอบครัวร่ำรวย
ตอนนี้เฉียวกวางหย่วนเชื่อแล้วจริง ๆ ว่าตระกูลซูมีฐานะไม่เลว
ล้อกันเล่นแล้ว ครอบครัวธรรมดาย่อมเลี้ยงดูเด็กสาวให้ออกมาโดดเด่นขนาดนี้ไม่ได้หรอก
[1] ไม่กล้าเปิดหม้อ หมายถึง ยากจนถึงขั้นไม่มีจะกิน