บทที่ 784 ข้อแนะนำเรื่องความมีมโนธรรม
บทที่ 784 ข้อแนะนำเรื่องความมีมโนธรรม
แต่ละประโยคที่เสี่ยวเถียนพูดออกมาทำให้สีหน้าเถ้าแก่ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น ถึงกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงและแดงขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่คิดมาตลอดว่าตัวเองฉลาดหาเงินได้เงินเยอะในช่วงเวลาสั้น ๆ ทว่าวันนี้ได้รับการสอนจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
แต่สิ่งที่เจ้าตัวพูดมันก็สมเหตุสมผลแหละ เขาขายเสื้อผ้าวันนึงตัวสองตัวก็พอให้มีเงินเลี้ยงชีพครอบครัวแล้ว แถมยังมีชีวิตที่ดีด้วย แม้โดนคนเข้ามาขัดคอบ้างครั้งสองครั้ง แต่ไม่ได้เสียเปรียบอะไร
เสี่ยวเถียนมองสีหน้ารู้สึกผิดและอับอายนั่น เมื่อพบว่ามันไม่ใช่ความโกรธใด ๆ เลยโล่งใจขึ้นมา
คนแบบนี้ใช้ได้ ต้องช่วยเอาไว้!
“ต่อให้คุณคิดจะตั้งแผงขายของไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีคนจำได้อีกขึ้นมา ต่อให้ไม่มีหลักฐานให้คุณต้องชดใช้ แต่คุณจะยังทำธุรกิจได้อีกหรือ?”
“เมืองหลวงใหญ่แค่นี้เอง คุณจะทำธุรกิจบนพื้นฐานการหลอกลวงไม่ได้นะ!”
เสี่ยวเถียนเอ่ยอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เถ้าแก่ที่คิดว่ามันมีเหตุผล พวกพี่ชายยังรู้สึกเหมือนกันด้วย
เสี่ยวลิ่วมองน้องสาวด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเธอจะสามารถเทศนาคนแปลกหน้าได้ แถมอีกฝ่ายก็ดันเห็นดีเห็นงามด้วยอีก
บอกตามตรง เขาพร้อมลงไม้ลงมือแล้ว แถมยังคิดไปถึงว่า ถ้าเถ้าแก่คิดจะลงมือขึ้นมา เขาก็พร้อมดึงน้องออกแล้วพุ่งเข้าไปทันที ถึงเสี่ยวเถียนจะเก่ง แต่เรามาเป็นกลุ่มพี่น้อง ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้น้องสาวจัดการเองหรอกนะ
เสี่ยวลิ่วหมายจะดึงน้องสาวให้พ้นทาง
ความอดทนของคนเรามีจำกัด เสี่ยวเถียนพูดไปเยอะแล้วอีกฝ่ายยังไม่โกรธก็แสดงว่าควบคุมตัวเองได้ แต่จะปล่อยให้น้องพูดรบกวนแบบนี้ต่อไปไม่ได้
“เถ้าแก่ ให้หนูแนะนำสักหน่อยนะ คุณลองไปหรงเฉิงดู ที่นั่นมีสินค้ามูลค่าหลายสิบหยวนที่ลวดลายและเนื้อผ้าดี หากคุณจะมุ่งสู่เส้นทางรวยคุณลองไปดูได้ค่ะ แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยงก็ขายด้วยราคาปกติจะดีกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรควรมีความซื่อสัตย์เป็นรากฐานค่ะ!”
คำพูดของเสี่ยวเถียนดังกึกก้อง ตอนที่พวกเราขายเสื้อผ้าเราก็คิดราคาสูง แต่ต้องบอกก่อนว่าคุณภาพมันสมราคา
เสื้อผ้าที่เราขายต่อให้ใส่ไปหลายปีก็ยังเหมือนเดิม คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
เถ้าแก่ครุ่นคิดอย่างหนัก
เขาควรจะย้ายที่หลอกไปเรื่อย ๆ หรือจะทำตามที่สาวน้อยบอกโดยการตั้งใจทำธุรกิจ และก้าวเข้าสู่การพัฒนาระยะยาว?
แต่กว่าจะคิดออกกลุ่มเด็ก ๆ ก็จากไปแล้ว
เถ้าแก่ยืนพึมพำคำว่าซื่อสัตย์ซ้ำไปมา
บางทีคงถึงเวลาทำธุรกิจในรูปแบบที่ต่างออกไปแล้วสินะ!
เสี่ยวเถียนจากไปในตอนที่เจ้าของร้านกำลังสับสน
สองปีที่ผ่านมา ตลาดค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ มีหลายคนเลยที่ซื้อสินค้าจากหรงเฉิงและหมัวเฉิง เพื่อมาขายเพิ่มราคาในเมืองหลวง
แต่คนซื้อขายมันเพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะหาเงินได้ไวเท่าสองปีที่ผ่านมา เสื้อผ้าชุดนึงสามารถเพิ่มราคาได้ถึงสิบยี่สิบหยวนด้วยซ้ำ แต่ถ้ามากกว่านั้นจะขายไม่ออก แต่ทุกวันนี้มันมีคนยอมจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้ามากกว่าเมื่อก่อนเยอะ ถึงรวม ๆ กำไรจะน้อยแต่มันมีการหมุนเวียนที่มากกว่า
เพราะงั้นขึ้นอยู่กับเถ้าแก่แล้วว่าจะทำยังไง
โอกาสดี ๆ แบบนี้ถ้าคว้าไว้ก็เกิดสองจิตสองใจอีก
“เสี่ยวเถียน ถ้าในอนาคตเจออะไรแบบนี้อีก เธอจะสุ่ม ๆ เข้าไปจัดการไม่ได้นะ วันนี้เธอเจอคนยังอารมณ์ดีอยู่ ถ้าเจอพวกใช้กำลังขึ้นมาอาจจะพุ่งเข้าทำร้ายเราได้เลยนะ”
“หนูรู้น่าพี่หก หนูไม่ค่อยได้โมโหใครเท่าไร แล้วเห็นเขามาหลอกเราอีกก็เลยอยากจะเล่นแง่ใส่!”เสี่ยวเถียนฟังคำบ่นแล้วยกยิ้มเอาใจ
ตอนแรกก็คิดแบบนั้นแหละ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็สอนเขาเฉย
ฝ่ายนู้นเองก็ไม่ได้โมโหที่เธอทำด้วย ถ้าเขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูด อนาคตไกลแน่นอน
เสี่ยวชีมองพี่หกและเสี่ยวเถียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อกี้เถ้าแก่ตั้งใจจะหลอกเขาหรือ?
“กระโปรงตัวนั้นมันไม่มีราคาจริง ๆ หรือ?”
เสี่ยวชีถามออกไป
เสี่ยวเถียนไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่พี่ชายสงสัย
“พี่เจ็ด ไว้เจอพี่สี่หนูจะคุยให้นะ เดี๋ยววันหยุดนี้ให้พี่ไปช่วงที่หรงฟา ดูแลพื้นที่ขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะไปเลย!”
เสี่ยวเถียนรู้ว่าพี่ ๆ ในบ้านฉลาด ไม่มีใครโดนหลอกง่ายเท่าพี่เจ็ดอีกแล้ว
“ไม่เอาหรอก พี่ไม่ไป พี่สี่ชอบกดขี่!” เสี่ยวชีส่ายหัว
เสี่ยวลิ่วทนฟังไม่ไหวหันไปฟาดทีนึง “พูดจาอะไรเนี่ย? ใครกดขี่อะไร?”
พูดจามั่วซั่วไม่ได้นะ!
ถึงพี่สี่จะเป็นพวกอยากได้คนคุณสมบัติสูง ๆ แต่ค่าจ้างที่เขาจ่ายให้กับพนักงานก็เยอะนะ แล้วเสี่ยวชีพูดแบบนั้นได้ยังไง แบบนี้พี่สี่ก็ดูเป็นพวกนายทุนชั่วร้ายเอาน่ะสิ?
“พี่หก ผมคิดว่าผมทำอะไรเชื่องช้าก็เลยโดนพี่หกแกล้งไง”
ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วที่เขาทำอะไรชักช้ากว่าพี่น้องในบ้าน ก็เลยโดนพี่หกรังแกบ่อย ๆ
เสี่ยวลิ่วหมดคำจะพูด ไม่อยากคุยกับน้องคนนี้เลย
เสี่ยวเถียนมองพี่เจ็ดผู้โง่เขลาด้วยความสนอกสนใจ พี่เจ็ดเรียนไฟฟ้า แต่จะรอดไหม? จะเรียนจบหรือเปล่าเนี่ย?
คงไม่ได้โดนปฏิเสธใบประกาศเพราะสอบจบไม่ผ่านหรอกนะ?
เสี่ยวปาเสี่ยวจิ่วมองความสนุกจากเบื้องหลัง เพลิดเพลินเป็นอย่างมาก ถึงกับบ่นด้วยซ้ำว่าทำไมพี่เจ็ดไร้เดียงสาขนาดนี้
เดินสนทนากันมาพักหนึ่งก็มาถึงบ้านปู่ถานในที่สุด
เสี่ยวเถียนกระโดดโลดเต้นเข้าไปเคาะประตู ทว่าตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงไม่คุ้นจากใครบางคน
“ไอ้แก่แบบพวกแกรู้ไหมว่าพวกฉันเป็นใคร?”
เสี่ยวเถียนมองพี่ ๆ ทันที
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมรู้สึกเหมือนมีโจรมาปล้นเลย?
คนปกติที่ไหนมันจะพูดจาแบบนี้?
“ลองฟังอีกรอบซิ!” เสี่ยวลิ่วเอ่ยจริงจัง
ระดับเสียงเบาพอให้พวกเราได้ยินกันเท่านั้น
“ฉันไม่สนใจว่าพวกคุณจะเป็นใคร แต่เราไม่มีทางยกสูตรอาหารให้หรอก!”
ถานจื่อสือพูด ต่อให้ฟังผ่านประตูก็ฟังออกว่าน้ำเสียงสั่นด้วยความกลัว
“พี่หก มันอันตรายไหม?”
“ไม่เห็นรู้เลยว่ามีคนอยากได้สูตรอาหารปู่ถานด้วย!” เสี่ยวลิ่วส่ายหัว
เครื่องปรุงที่ใช้มันเบสิกมาก สองปีที่ผ่านมาไม่มีใครทำก๋วยเตี๋ยวเย็นกับเฉาก๊วยขายในเมืองหลวงได้อะไรเท่าบ้านปู่ถานแล้ว ที่สามารถถือครองตลาดได้มานานเป็นเพราะมันมีรสชาติพิเศษ
นอกจากอาหารทั้งสองอย่างที่ทำแล้ว มันยังมีเครื่องปรุงอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีก
บ้านเมืองที่แสนสงบตอนนั้นกลายเป็นเลวร้ายแบบนี้ได้ยังไง?