ต่อมาหลี่จื่อเฟิงก็ถูกพาตัวไป
ไม่มีการขัดขวางใดๆ บอดี้การ์ดสองคนหิ้วปีกซ้ายขวาของหลี่จื่อเฟิงขึ้นมาและส่งตรงไปที่สำนักงานอัยการ
เฉิงอี้หรานมองหลี่จื่อเฟิงที่มีสีหน้าสิ้นหวังถูกพาตัวไปแล้วก็นิ่งเงียบ เขาคิดถึงประโยคสุดท้าย
คำพูดเหล่านั้นหนักหน่วงเกินไป หนักหน่วงจนเขารับไม่ไหว ทำให้เขาไม่รู้จะไปพบหน้าหงก้วนอย่างไร
แม้เขาจะรู้จากเฉิงอวิ๋นว่าตอนนี้หงก้วนอยู่สถานที่เดียวกันกับเขา เป็นเพียงชั้นบนและชั้นล่างเท่านั้น หงก้วนอยู่ด้านบนส่วนเขาอยู่ด้านล่าง แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะขึ้นบันไดสั้นๆ นี้
ไม่มีสิทธิ์นั้น
“ไม่คิดจะไปเจอกันจริงๆ นะเหรอครับ” ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็เอ่ยถามเบาๆ ข้างกายเฉิงอี้หราน
“เฉพาะตอนนี้…” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า
เขารู้สึกว่าอุบัติเหตุรถชนในครั้งนี้เป็นเรื่องแย่ที่สุดสำหรับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปรวดเร็วจนคาดไม่ถึง
“เอาเถอะ ตามใจคุณก็แล้วกัน” จงลั่วเฉินไม่คิดที่จะบังคับ “จัดให้คุณเปลี่ยนโรงพยาบาล ให้หงก้วนอยู่ที่นี่ต่อ และไม่พูดถึงเรื่องหลี่จื่อเฟิงกับเขาชั่วคราว ผมจะให้เฉิงอวิ๋นจัดการให้เรียบร้อย”
การได้พบกับเจ้านายใจกว้างเช่นนี้ เฉิงอี้หรานจึงไม่ประหยัดคำพูดขอบคุณ แม้เขาจะรู้ว่าที่จงลั่วเฉินให้ความสำคัญกับเขานั้นเป็นเพียงเพราะตนเองเป็นลูกค้าของสถานที่แห่งนั้นเท่านั้น
แต่คนนั้นมีพันหน้า
อย่างเช่นหลี่จื่อเฟิง เช่นตัวเขาเอง แต่เมื่อมาถึงจงลั่วเฉิน…
ลองถามดูว่าจะมีสักคนที่สุขุมและเยือกเย็นได้อย่างจงลั่วเฉิงอีก?
“ตอนที่ผมยังไม่ฟื้น หงก้วนมาเยี่ยมผมจริงๆ เหรอ” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ถามขึ้น
จงลั่วเฉินพูดตามความจริงว่า “เขาคงคิดจะรักษาสัญญาที่เคยเซ็นไว้กับหลี่จื่อเฟิง ก่อนออกไปถึงกำชับผมไม่ให้บอกคุณ แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังแล้ว”
เฉิงอี้หรานก้มหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จงลั่วเฉินหรี่ตาลงและเอ่ยว่า “แต่ผมพบอะไรบางอย่าง ดูเหมือนหงก้วนก็ใช้กีตาร์ด้ามนี้ของคุณได้”
เฉิงอี้หรานเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน “คุณแน่ใจเหรอครับ”
จงลั่วเฉินพยักหน้าพูดว่า “อย่างน้อยตามที่ผมดู ระยะใกล้นั้นมีผลลัพธ์เหมือนกัน แต่จะถึงขอบเขตสูงสุดของกีตาร์ได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ผมยังไม่รู้ แต่ทำไมเขาถึงใช้มันได้ คุณไม่คิดว่ามันน่าสนใจงั้นเหรอ”
“ขอผม…อยู่เงียบๆ สักครู่”
“อย่านานนักล่ะครับ”
…
…
กุ่ยอิงเคาะประตู เดินเข้าไปในห้องสำนักงานของโรงพยาบาล พูดอย่างเคารพนอบน้อมว่า “ใต้เท้าหลง จัดการเรื่องครอบครัวซูเสี่ยวซูเรียบร้อยแล้ว เอายาควบคุมการตั้งครรภ์ให้เธอตามคำสั่งท่านแล้ว ตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่”
หลงซีรั่วยังอยู่ในสภาพหญิงสาวสวมชุดสูทสีดำที่ดูเคร่งขรึมเช่นเดิม มองไปยังผู้ที่อยู่ตรงหน้า
ชีสเพิ่งฟื้นขึ้นมา ก็เห็นเสี่ยวเจียงที่มีท่าทางเคร่งเครียดและกุยเชียนอีที่กำลังหลับตาพักผ่อน…“ชีส ฉันหวังว่านายจะบอกความจริงกับฉัน ว่านายไปได้สัตว์เลี้ยงตัวนั้นมาได้ยังไง?”
ต่อมาได้ยินกุ่ยอิงพูดว่า ปีศาจที่ถูกเข็มพิษนั้นตายในทันที ไม่มีโอกาสช่วยชีวิตเลยแม้แต่น้อย เป็นครั้งแรกที่ชีสเห็นความอันตรายของนกหวีดกับตา
“ผม…ผมไม่รู้” ชีสส่ายหน้า “ผมบังเอิญเจอนกหวีด แต่…แต่ว่านกหวีดเชื่องมาโดยตลอด ที่มัน…สูญเสียการควบคุมจะต้องมีสาเหตุแน่”
“ฉันไม่สนใจสาเหตุที่มันสูญเสียการควบคุม” หลงซีรั่วส่ายหน้าพูดว่า “ที่ฉันสนใจก็คือ มันเป็นตัวอันตรายปีศาจที่ถูกมันฆ่าตายผู้นี้ก็ถือว่าเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง เป็นปีศาจที่มีอายุเกือบสามร้อยปีแต่กลับถูกเข็มพิษเล่มเดียวฆ่าตาย…ยังมีเศษกระดูกที่พบใต้พื้นที่ว่างอีก แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าหากปล่อยให้เจ้าสิ่งนี้อยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นต่อปีศาจหรือมนุษย์ก็ล้วนแล้วแต่อันตรายทั้งสิ้น…มันไม่เลือกกิน นายเข้าใจไหม?”
“ผม…” ชีสก้มหน้าลง
เหตุผลบอกกับเขาว่าหลงซีรั่วพูดไม่ผิด…แต่เขาก็รู้ว่าหากนกหวีดตกอยู่ในมือของหลงซีรั่วแล้ว มันคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน
ถึงแม้จะไม่ใช่หลงซีรั่ว แต่เป็นกุ่ยอิง ชีสก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารบนร่างของกุ่ยอิง
“ยังมีเรื่องของจุยเฟิงอีก…” หลงซีรั่วขมวดคิ้วขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวโยงกัน เกิดจุยเฟิงที่กลายเป็นมารกับนกหวีดที่บ้าคลั่งพร้อมกัน เรื่องราวยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ทันใดนั้นชีสก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้าหลง ถ้าหาก…ถ้าหากนกหวีดสงบลงได้แล้ว ท่านจะสามารถ…”
คำพูดของเขายังไม่จบก็ได้ยินเสียงสบถของกุ่ยอิงดังแทรกขึ้นมา นี่ทำให้ชีสกลืนคำพูดที่คิดจะพูดกลับลงท้องไป ทำได้เพียงเอ่ยว่า “ผม…ผมอยากจะไปหาแม่”
หลงซีรั่วโบกมือ
เสี่ยวเจียงรีบพูดขึ้นในตอนนี้ว่า “ใต้เท้าหลง ผมก็จะไปเป็นเพื่อนชีส”
เมื่อปีศาจน้อยสองตนจากไปแล้ว กุยเชียนอีถึงลืมตาขึ้น ค่อยๆ พูดว่า “คลื่นถาโถมเข้ามาไม่หยุดจริงๆ ทำไมปีนี้ถึงวุ่นวายอย่างนี้”
หลงซีรั่วพูดเสียงเข้มว่า “คิดว่าของที่เรียกว่านกหวีด…คงมีสติปัญญาไม่ธรรมดา”
กุยเชียนอีเงยหน้ามองมาและพูดว่า “ทำไมถึงพูดแบบนั้น?”
หลงซีรั่วเอ่ยว่า “เจ้าลองคิดดู ชิ้นส่วนกระดูกใต้พื้นที่ว่างอย่างน้อยก็มีมากกว่าสิบแล้ว ถึงแม้จะแยกส่วนของปีศาจออกไป ที่เหลือก็เป็นมนุษย์ทั้งหมด…แต่กลับไม่ทำให้มนุษย์เกิดความหวาดกลัว เจ้าคิดว่ายังไง?”
กุยเชียนอีพยักหน้าเอ่ยว่า “ตัวประหลาดนี้อาจจะฉลาดมาก พยายามไล่ล่าเฉพาะคนที่ไม่มีสถานะทางสังคม หรือคนที่อยู่คนเดียว รวมไปถึงพวกคนเร่ร่อน…เป็นพวกที่ถึงแม้จะหายตัวไปอย่างกะทันหันก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ยังมีความสามารถแปลกประหลาดเหล่านั้นของมันอีก ล้วนแต่ไม่ใช่ของสัตว์ที่กลายร่างเป็นปีศาจ”
แล้วกุ่ยอิงก็พูดขึ้นว่า “มันไม่มีกลิ่นอายปีศาจ…อาจจะพูดได้ว่ามันซ่อนกลิ่นอายปีศาจได้อย่างสมบูรณ์จนหลุดรอดไปจากการไล่ล่าของผม”
หลงซีรั่วกัดเล็บและพูดว่า “แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าเจ้านี่ระมัดระวังตัวมาก จะไม่เผยตัวให้เห็นได้ง่ายๆ…เหมือนกับหนู”
“ดูเหมือนนกหวีดจะใส่ใจชีสเป็นพิเศษ” กุยเชียนอีเอ่ย “ตอนที่ชีสถูกจับ ตัวประหลาดนั่นคิดจะช่วยเขา…ใต้เท้าหลง บางทีพวกเราอาจจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ ล่อของสิ่งนั้นออกมา”
หลงซีรั่วชะงัก ขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าหมายถึงจะใช้ชีสเป็นเหยื่อล่องั้นเหรอ ไม่ได้ เรื่องนี้ขัดกับกฎของฉัน”
“ใต้เท้า นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน” กุยเชียนอีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ในตอนนี้เอง ปีศาจผู้ชายสวมชุดสูทสีดำก็ผลักประตูเดินเข้ามา เพียงกุ่ยอิงคนเดียวก็ทำให้เขาเคารพนอบน้อมได้แล้ว นับประสาอะไรกับมีกุยเชียนอีและหลงซีรั่วอีก เขาจึงได้เพียงทำความเคารพทั้งสามและยืนตรงรายงานว่า “ใต้เท้า! พวกเราหาร่องรอยของจุยเฟิงพบแล้ว!”
“อยู่ที่ไหน?”
“ตอนนี้เขาหลบอยู่บนดาดฟ้าของตึกที่ชื่อว่า ‘อวิ้นฉิน’!”
หลงซีรั่วฟังแล้วก็ยืนขึ้น สั่งการว่า “เตรียมรถ ออกเดินทางทันที ฉันอยากพบเขาด้วยตัวเอง”
กุยเชียนอีกลับส่งสายตามาให้กุ่ยอิงกับปีศาจชายตนนั้นออกไปก่อน จากนั้นถึงพูดกับหลงซีรั่วว่า “ใต้เท้าหลง ท่านไม่อาจไปได้…ท่านลืมว่าจุยเฟิงมีของที่ใช้ควบคุมปีศาจได้แล้วหรือ?”
หลงซีรั่วพูดอย่างจริงจังว่า “ที่จุยเฟิงเปลี่ยนเป็นสภาพในตอนนี้ข้าก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ…ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบของข้า ข้าก็จะไม่หลบหนีเด็ดขาด”
กุยเชียนอีรู้ว่าการห้ามไร้ผลจึงถอนหายใจและพูดอย่างหมดทางเลือกว่า “ข้ารู้แล้ว ขอให้ข้าตามไปคุ้มครองข้างกายท่านด้วยเถอะ”
“ไม่ มีกุ่ยอิงตามไปก็พอ” ทันใดนั้นหลงซีรั่วก็พูดว่า “ข้ามีอีกที่หนึ่งที่อยากให้เจ้าไป”
“ไม่ทราบว่าไปที่ไหน?”
“เจ้าไปพบเซียงหลิ่ว” หลงซีรั่วหรี่ตาลง “ช่วยข้าถาม…”
เธอใช้เสียงเบาสั่งกุยเชียนอีอย่างละเอียด
…
…
ในมุมอันดำมืดมุมหนึ่งภายในเมือง แขนข้างหนึ่งโผล่ออกมา
แต่เจ้าของแขนนี้กลับไม่มีสัญญาณแห่งชีวิต…หรือจะพูดว่าตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว ร่างกายของเขา โดยเฉพาะช่องท้องที่ถูกขุดออกจนเกลี้ยง แววตาหยุดอยู่ที่ความรู้สึกสิ้นหวังและว่างเปล่า
บนตัวของเขามีนกหวีดก้มหัวลงกินอวัยวะภายในของเขา
แต่ถึงจะกินอยู่ มันก็ยังคุยกับอะไรไปด้วย…เป็นเสียงที่แปลกประหลาดเสียงนั้น
“นายบอกว่า…เขารู้สึกสบายใจงั้นเหรอ?” นกหวีดกินช้าลง ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “บรรดาพวกที่ถูกฉันกินก่อนหน้านี้ล้วนแต่หวาดกลัว ทำไมคนคนนี้ถึงรู้สึกสบายใจ?”
“แปลกมากงั้นเหรอ?” เสียงนั้นค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เขาถูกเมืองแห่งนี้ทอดทิ้ง คนคนหนึ่งไม่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต อีกทั้งร่างกายยังมีแต่โรคมากมายรุมเร้า เขาไม่มีเงินไปซื้อยามารักษาร่างกายที่เจ็บป่วย ต้องทรมานด้วยโรคทุกวัน ส่วนหน่วยงานสวัสดิการและคนจิตใจดีเหล่านั้น…อืม มีบางคนมอบสิ่งของให้เขา แต่ก็ไม่เคยมีใครคิดจะรักษาโรคของเขา ความตายสำหรับเขาแล้วอาจจะเป็นการปลดปล่อยชนิดหนึ่ง”
“ตายจะเป็นการปลดปล่อยได้อย่างไร?” การเคลื่อนไหวของนกหวีดกลับมาเร็วเช่นเดิมอีกครั้ง “ฉันไม่เข้าใจ ฉันจะไม่ยอมตาย ใครจะฆ่าฉัน ฉันก็จะฆ่าคนนั้น”
“อืม คุณพูดไม่ผิด” เสียงนั้นเอ่ยเบาๆ “สิ่งมีชีวิตมักจะเป็นเช่นนี้”
“นายก็คิดว่าฉันพูดถูกงั้นเหรอ” นกหวีดถามขึ้นอย่างฉับพลัน
“คุณไม่ผิด” เสียงนั้นยังคงสงบเช่นเคย แต่ทันใดนั้นก็พูดว่า “อืม…วันนี้พอแค่นี้เถอะ มีคนมาหาผมแล้ว”
“รอเดี๋ยว!” นกหวีดเงยหน้าขึ้น แต่ก็พบว่าไม่มีการตอบสนอง…เสียงนี้ยังคงจะมาก็มาจะไปก็ไปเช่นเดิม
…
ภายในสมาคม เจ้าของสมาคมเปลี่ยนชุดด้วยการดูแลของคุณหนูสาวใช้ นั่งลงยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยว่า “คุณเฉิง ครั้งนี้มาหาผมด้วยเรื่องอะไรครับ?”
คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเจ้าของสมาคมลั่วคือเฉิงอี้หรานที่บนหัวยังพันผ้าพันแผล สีหน้ายังดูไม่ค่อยดี
นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาเผชิญหน้ากับพ่อค้าลึกลับผู้นี้