บทที่ 815 พ่อแม่ของฉืออี้หย่วนกลับมาแล้ว
บทที่ 815 พ่อแม่ของฉืออี้หย่วนกลับมาแล้ว
ตามปกติแล้ว ฉืออี้หย่วนมักจะมาหาเสี่ยวเถียนเป็นคนแรกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้แต่เหล่าฉือก็รักเสี่ยวเถียนเหมือนกัน แต่วันนี้กลับไม่พบพวกเขาจึงค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย
คุณย่าซูได้ยินก็ถอนหายใจอีกรอบ
“อี้หย่วนยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ ได้ยินว่าพ่อแม่เขากลับมาจากต่างประเทศแล้ว”
พวกเราไม่เคยเจอคนพ่อมาก่อน แต่เคยเจอคนแม่กันทุกคนแล้ว ถึงผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาแค่ช่วงสั้น ๆ ก็มาพอให้เข้าใจว่าเธอเป็นคนแบบไหน? ด้วยนิสัยแบบนั้น คาดว่าพาลแต่จะทำเราหงุดหงิด
ชีวิตอี้หย่วนลำบากจริง ๆ
“ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมาล่ะ?”
“ใครจะรู้ล่ะ เขากลับมากับลูก ๆ ด้วยนะ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”
พวกเขาจากไปหลายปี ไม่ได้มีความรักต่อลูกชายคนนี้สักนิด
สู้พ่อแม่บุญธรรมไม่ได้เลย
แล้วคราวนี้หิ้วลูกใหม่มาด้วย ถ้ารักมากกว่าอี้หย่วน เจ้าตัวก็คงไม่รู้สึกดีหรอกนะ
“เย็นพรุ่งนี้เขาน่าจะกลับบ้านน่ะ”
นี่คิดสิ่งที่คุณย่าซูและอวี่รุ่ยหยวนคิดเหมือนกัน แต่มันเป็นเรื่องในครอบครัวคนอื่น เราไม่สามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ เฮ้อ เอาเถอะ ความทุกข์ยากของอี้หย่วนอาจจะยังเยอะไม่พอก็ได้!” คุณย่าซูถอนหายใจ ไม่อยากคิดเรื่องน่าอึดอัดใจแบบนี้อีกแล้ว
ทางฝั่งเสี่ยวเถียนกำลังอยู่บนรถไฟที่คับคั่งไปด้วยผู้คน แต่พวกเราจองชั้นนอนเอาไว้ และตอนนี้คนในตู้นอนค่อนข้างน้อย
เราเดินไปเจอที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับโครงการวิจัยตัวนี้ พวกเขาเลยซื้อตั๋วนอนให้กับเรา และเพื่อความปลอดจึงจองให้อยู่ห้องเดียวกัน
เราแบกข้อมูลการวิจัยมาหลายตัว คงไม่ดีถ้ามีคนคิดไม่ดีขึ้น
ห้องสี่เตียงกับคนสามคนทำให้ดูกว้างขวาง หลังจากปิดประตูลง มันกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ ในนี้
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันดีไม่น้อย ดีกว่าตอนที่นั่งไปหรงเฉิงเสียอีก
“เสี่ยวเถียนนอนชั้นบนนะ เดี๋ยวลุงกับซานกงนอนเตียงล่าง
ให้ผู้หญิงนอนข้างบน เพราะมีความเป็นส่วนตัวกว่า และถ้าเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายสองคนล่างจะจัดการได้ง่ายด้วย
เสี่ยวเถียนโตเป็นสาวแล้ว ไม่เหมือนตอนเด็ก ๆ อีกต่อไปแทนที่จะไปนอนร่วมกับคนอื่น เธออยู่ในห้องเล็ก ๆ แบบนี้กับพี่ชายและลุงเขยปลอดภัยกว่าเยอะ
เดิมทีเวลาเธอต้องไปอยู่ที่อื่น ไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว หลังจากเสิ่นจื่อเจินจัดแจงให้ก็กล่าวขอบคุณแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงทันที
ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยมันทำเธอสบายใจมาก
เสี่ยวเถียนจัดกระเป๋าเดินทาง แล้ววางไว้บนชั้นตรงปลายเตียง ที่จริงเธอใช้จังหวะนี้แหละยัดของมีค่าไว้ในระบบ
ทันทีที่เข้ามานั่งไม่นาน รถไฟเริ่มออกตัวช้า ๆ
เราออกเดินทางกันตอน 14:35 น.
ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย ๆ เสี่ยวเถียนจึงหยิบหนังสือออกมาอ่าน
หนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีวิจัยที่ยุ่งหัวหมุน บวกกับเธอต้องเรียนวิชาเรียนต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ตอนนี้รู้สึกว่ายุ่งกว่าต้องไปลงมือจริง ๆ เสียอีก
รถไฟในยุค 80 ไม่ใช่รถไฟความเร็วสูงอย่างในยุคปัจจุบัน แต่ว่ามันก็ไม่ได้นิ่งเหมือนกับรถยนต์ ยังมีความสั่นคลอนอยู่
แรงสะเทือนของมันเหมือนเปลจนทำเธอง่วงในไม่ช้า ตอนนี้เสิ่นจื่อเจินและซานกงนั่งคุยอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งเสี่ยวเถียนไม่ได้สนใจ
สุดท้ายเด็กสาวก็ต้านความง่วงงุนไม่ไหวจนผล็อยหลับไป
เธอตื่นขึ้นอีกทีก็เป็นเวลาห้าโมงครึ่งแล้ว เด็กสาวมองลงไปข้างล่างก่อนจะพบคนทั้งสองยังนั่งคุยกันอยู่
ผ่านไปหลายชั่วโมงพวกเขายังไม่เปลี่ยนท่ากันเลย สิ่งที่เพิ่มมาคือกระดาศบนโต๊ะมีรอยขีดเขียนมากขึ้น
ซานกงลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เมื่อรู้สึกได้ว่าน้องตื่นแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอเสี่ยวเถียน? ดื่มน้ำก่อนมา อุณหภูมิกำลังพอดีเลย”
ซานกงเตรียมน้ำไว้ตั้งแต่ตอนที่น้องสาวนอนหลับ ตอนนี้มันก็เลยอุ่นแล้ว
เสี่ยวเถียนรับมาแล้วยกจิบสองอึก อุณหภูมิกำลังพอดีจริงด้วย
พี่สามที่บอกว่าจะดูแลกัน ก็ดูแลจริง ๆ แถมดูแลดีทีเดียว!
หลังจากดื่มก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเด็กสาวปีนลงจากเตียง
เพราะต้องเดินทางไปด้วยกัน ไม่มีทางไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เธอทรุดตัวนั่งข้าง ๆ แล้วฟังการสนทนาพร้อมดูสิ่งบนกระดาษ
หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก็เข้าใจบทสนทนาทั้งหมด
“หนูได้ยินเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้พอดีเลย เลยคิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้นะ!”
เสี่ยวเถียนแสดงความเห็นออกไป
จากนั้นก็หยิบปากกาแล้วขีดเขียนลงไปในกระดาษ
ห้านาทีต่อจากนั้นเธอแสดงความเห็นและข้อเสนอออกไปอย่างชัดเจน
แววตาคนทั้งสองเริ่มสดใสขึ้น
จากนั้นก็มองหน้ากัน เหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้คิดถึงวิธีแก้ปัญหาแบบนี้เลยนะ
แม้สิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ถ้าวิเคราะห์โดยอิงทางทฤษฎีแล้วมันมีความเป็นไปได้
พวกเขาลองทำตามคำแนะนำ ก่อนเริ่มวิเคราะห์และวิจัยในเชิงลึกอีกครั้ง
เห็นทั้งสองกระตือรือร้นเสี่ยวเถียนก็ไม่รบกวนอีก เธอคิดว่ามันมีจุดผิดพลาดอยู่อีกไหม
แต่หากไม่รู้ก็ต้องลงมือปฏิบัติจริง ๆ ซะก่อน
หนึ่งชั่วโมงต่อมาก พนักงานรถไฟเข็นรถเสบียงไปมาอยู่หลายครั้ง เสี่ยวเถียนหยิบแตงกวา มะเขือเทศ ซอสเนื้อ ซาลาเปาไส้เนื้อ และผงมอลต์ออกมาจากกระเป๋า
อาหารบนรถไฟไม่อร่อย เธออยากกินอาหารที่เอามาเองมากกว่า
วันแรกเราจะกินซาลาเปา ส่วนวันที่สองกินแป้งทอดไส้เนื้อ และวันที่สามกินซอสเนื้อกับแป้งทอดข้าวสาลี บวกกับแตงกวา มะเขือเทศ และแอปเปิ้ล ซึ่งเยอะมาก ๆ
เสี่ยวเถียนหยิบน้ำร้อนออกมาชงผงมอลต์ให้ทุกคนคนละแก้ว จากนั้นก็เรียกพวกเขามากิน
“ลุงเขย พี่สาม กินข้าวกันค่ะ กินเสร็จค่อยคุยงานต่อ”
ทั้งสองเห็นฟ้ามืดแล้วจึงเก็บข้าวของแล้วเตรียมกินข้าว
ซาลาเปาไส้เนื้อฝีมือคุณย่าอร่อยมาก
ร้านเราไม่มีซาลาเปาในเมนู เพราะงั้นย่าจึงทำให้เรากินเป็นครั้งคราว
วัตถุดิบที่ใช้มีความซับซ้อนมาก
เสิ่นจื่อเจินยิ้ม “ไม่ได้กินซาลาเปาฝีมือคุณป้ามานานแล้ว คิดถึงจังเลย”
ช่วงนี้เขายุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาไปพบปะคนบ้านซูเลย
“กินเยอะ ๆ ได้เลยนะคะ” เสี่ยวเถียนดันกล่องอาหารไปหาคนเป็นลุง