บทที่ 826 สอน
บทที่ 826 สอน
พวกเสี่ยวเถียนไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงตอบตกลงเท่านั้น เมื่อเห็นพวกเขาตอบตกลงเลขาอันดีใจมาก หลังจากนั้นไม่นานคนทั้งแปดก็เดินทางมาถึงบ้านอันหรงเสวีย
หมู่บ้านแห่งนี้มีเพียงแปดคนนี้ที่ค่อนข้างหัวดี ตอบสนองได้ไว ฉลาดหลักแหลม และหนึ่งในนั้นก็มีลูกชายเขาด้วย เลขาอันคอยบอกให้ตั้งใจเรียนรู้ให้ดี แถมยังบอกอีกว่าเสี่ยวเถียนเต็มใจสอนมาก นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ไม่ควรพลาด
คนในหมู่บ้านจมน้ำตายปีแล้วปีเล่า ทั้งแปดรับรู้ถึงความกดดันนี้ได้เป็นอย่างดี และพวกเขาก็พร้อมจะเรียนอย่างเต็มที แต่เมื่อเห็นเสี่ยวเถียนเพิ่งอายุเท่านี้ ทุกคนต่างคิดไม่ตกว่าเธอเป็นหมอจริง ๆ หรือ?
โชคดีที่ชาวบ้านเชื่อในคำตัดสินของเลขาอัน ในเมื่อเขาบอกว่าเสี่ยวเถียนรู้ทักษะนี้ ก็แสดงว่าเธอต้องรู้แน่นอน
หลังจากทักทาย เสี่ยวเถียนขอใช้ลานบ้านอันหรงเสวียเป็นสถานที่สอนชั่วคราว เจ้าของบ้านเห็นด้วยอยู่แล้ว ครอบครัวเราเพิ่งจะได้รับการช่วยเหลือจากสาวน้อยเอาไว้ แถมเธอยังจะสอนเรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนตกน้ำ เพื่อพวกเราจะได้มีความปลอดภัยขึ้นในภายภาคหน้าอีก
เสี่ยวเถียนเรียกพวกเขามารวมตัวกันแล้วเริ่มสอน อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตนเองเหมือนคุณครูเลย
ชาวบ้านแห่มายืนล้อมกันดู พวกเขาคิดว่าดูใกล้ ๆ มันไม่ได้แย่อะไร อันหรงเสวียคอยศึกษาจากข้าง ๆ ขนาดหลี่กุ้ยฮวาก็ยังชะเง้อมองมาจากหน้าต่างอยู่หลายรอบ แต่ไข้เธอเพิ่งลดยังไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงออกไปยืนดูบ้างแล้ว
เสี่ยวเถียนเลือกเด็กสาวมาคนหนึ่ง ขอความร่วมมือในการสาธิตให้ดู เธอชื่อซิ่วหง อายุอานามไล่ ๆ กับตนเอง
“หลังจากช่วยคนจมน้ำขึ้นฝั่งได้ เราจะต้องตบไหล่เขาก่อน แล้วค่อยตะโกนเรียก เพื่อยืนยันว่ามีสติหรือไม่”
“ขั้นตอนสองคือไล่น้ำที่เข้าไปในร่างกายออก โดยจับคนคว่ำหน้าลงบนขาของเรา แล้วตบหลังเพื่อไล่น้ำออกมา”
เสี่ยวเถียนพูดแล้วจับซิ่วหงนอนคว่ำลงบนขาเธอ จากนั้นก็ตบไปที่หลัง
ซิ่วหงตกใจมาก คุณหมอแข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ? และภาพที่เสี่ยวเถียนผู้เป็นเด็กหญิงตัวเล็กจับเด็กสาวอีกคนที่ตัวสูงและแข็งแรงกว่าคว่ำหน้าลงตัก ก็ทำให้ทุกคนตกใจไม่แพ้กัน
พวกเขาเห็นกันหมดว่าซิ่วหงยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็โดนเสี่ยวเถียนกดร่างไว้แล้ว
เด็กคนนี้มีชื่อเสียงว่าเป็นหญิงสุดแกร่งของหมู่บ้าน เธอแรงเยอะตั้งแต่อายุสิบขวบกว่า ๆ ผู้ชายธรรมดาไม่สามารถงัดข้อเธอชนะได้ด้วยซ้ำ
“ถ้าในหมู่บ้านนมีควายอยู่ ให้วางไว้บนหลังควายก็ได้ค่ะ หรือจะคว่ำหน้าแบบนี้ก็ได้ ใช้ได้เหมือนกัน” เสี่ยวเถียนขบคิดก่อนจะเอ่ย
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ ที่จริงคนแก่ ๆ ก็เคยทำนะแต่ว่าไม่ค่อยได้ผลเท่าไร บางครั้งก็ช่วยได้ แต่หลายครั้งก็ช่วยไม่ได้
“หลังจากขับน้ำออกเสร็จก็มาตรวจการหายใจและชีพจรค่ะ โดยจะใช้สองนิ้ววางขนานพื้นข้างลูกกระเดือก แล้วสังเกตว่าหน้าอกผู้ป่วยมีการขยับขึ้นลงหรือเปล่า หากไม่มีการหายใจและการเต้นของชีพจร ให้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพทันทีค่ะ”
“ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ต่อให้เราขับน้ำออกจากร่างได้แต่ถ้าไม่สามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีพ ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ค่ะ”
ประโยคนี้คลายความสงสัยให้หลายคนได้ แต่คนบางส่วนก็ไม่เข้าใจว่าช่วยฟื้นคืนชีพคืออะไร
ไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ เพราะเสี่ยวเถียนพูดต่อแล้ว
“ขั้นแรกของวิธีช่วยฟื้นคืนชีพคือให้เปิดทางเดินหายใจก่อน โดยเราจะต้องกำจัดตะกอนและเศษหญ้าออกจากปากและจมูกผู้ป่วย หากมีการลำสักให้เอียงศีรษะไปด้านข้างก่อน แล้วใช้นิ้วหรือผ้าเช็ดจัดการสิ่งที่ขับออกมาค่ะ”
“หากตะกอนและเศษหญ้าติดอยู่มันจะส่งผลกระทบต่อการรักษาในภายหลังค่ะ และก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยมากขึ้น เพราะงั้นห้ามมองข้ามวิธีการนี้นะคะ” เสี่ยวเถียนอธิบายอย่างระมัดระวัง
ต่อมาคือการผายปอด เพราะที่นี่คือชนบท ต่อให้เด็กผู้หญิงเป่าลมใส่ปาก ซิ่วหงก็ยังคงหน้าแดงด้วยความเขิน คนที่มองอยู่ต่างก็เขินอายเช่นกัน ต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ? อีกทั้งยังต้องทำท่ามกลางผู้คนด้วย น่าอายขนาดไหนกัน
เสี่ยวเถียนเอ่ยอย่างจริงจัง “ขั้นตอนนี้สำคัญเหมือนกันนะคะ ทุกคนอาจกังวลกับการทำเรื่องนี้ หนูก็เลยให้เลขาอันพาคนมาเรียนรู้ทั้งชายและหญิงค่ะ แต่ในช่วงสถานการณ์คับขันต้องจำไว้นะคะว่านี่คือการช่วยชีวิตผู้คน ไม่ว่าตอนไหนชีวิตคนคือสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีใครคิดว่ามันผิดแปลกอะไร เพราะยังไงชีวิตมนุษย์ก็สำคัญที่สุด คนจะตายอยู่แล้วยังจะมาห่วงอายอะไรอีก?
“คุณหมอพูดถูก เมื่อทุกคนเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ในช่วงเวลาคับขัน ต้องไม่พลาดโอกาสที่จะช่วยชีวิตคนอื่นเพียงเพราะเขินอายนะ!”
เลขาอันรู้ดีว่าการผายปอดโดยใช้ปากต่อปากเป็นสิ่งที่ชาวบ้านคาดไม่ถึง แต่ในเมื่อมันคือการช่วยเหลือผู้คนพวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยนี่อีก
เริ่มแรกชาวบ้านต่างก็เขินอาย ทำให้ไม่มีใครกล้ามองภาพตรงหน้า แต่หลังจากได้ยินเสี่ยวเถียนและเลขาอันยืนยันจึงพยักหน้ารับ
“คุณหมอพูดว่านี่คือการช่วยชีวิต ไม่ใช่การเล่นชู้กับใครนะ!”
“ใช่ ๆ การช่วยชีวิตผู้คนคือสิ่งสำคัญ!”
เสี่ยวเถียนเห็นทุกคนยอมรับก็อธิบายการกดนวดหัวใจต่อ เธอใช้วิธีอธิบายไปด้วยและสาธิตให้ดูไปด้วย เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจง่ายขึ้น หลังจากอธิบายเสร็จทุกคนได้แต่ตกตะลึง จากนั้นเสี่ยวเถียนก็ขอให้คนสองคนลองซักซ้อม แล้วตนเองคอยแนะนำอยู่ข้าง ๆ
ด้วยความที่พวกเขาเป็นหนุ่มสาวที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน ต้องบอกเลยว่าพวกเขาเรียนรู้ไวจริง ๆ หลังจากฟังคำแนะนำของเสี่ยวเถียน ก็เข้าใจสิ่งที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อมาถึงขั้นตอนผายปอด พวกเขาก็มีท่าทีไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่เสี่ยวเถียนยืนยันว่าพวกเขากำลังทำเรื่องที่ถูกต้อง เพราะนี่คือการช่วยเหลือผู้คน
พวกเขาต่างก็หน้าแดงก่ำ
เธอรู้ว่ามันน่าอาย พอเห็นว่าทุกคนใกล้จัดการเสร็จก็ไม่ได้พูดต่อ แต่อธิบายสิ่งสำคัญอีกครั้ง และให้ทุกคนได้ลองทำดู
เธอเองก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง และก็อายที่ต้องพูดซ้ำ ๆ เหมือนกัน ถึงชาวบ้านจะรู้สึกไม่ต่างกัน แต่ก็ตั้งใจฟังทุกคน
ด้วยเหตุผลที่ว่าหลายปีมานี้คนในหมู่บ้านเสียชีวิตจากการจมน้ำจำนวนมาก พวกเขามีความหวังว่าการเรียนรู้นี้จะสามารถช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเช้า ชาวบ้านที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็ทำได้แล้ว
เลขาอันเชิญเธอไปที่บ้าน
“ผมส่งคนไปเชิญอาจารย์เสิ่นและสหายเสี่ยวซูแล้ว พวกเขาจะตามมาในไม่ช้า เชิญคุณหมอไปก่อนได้เลยครับ”
ท่าทางของเลขาอันในตอนนี้ให้ความเคารพต่อเสี่ยวเถียนมาก ที่จริงมากกว่าเสิ่นจื่อเจินเล็กน้อยด้วยซ้ำ ถึงเสิ่นจื่อเจินจะกำลังศึกษาเมล็ดพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิต แต่เรายังไม่เห็นผลลัพธ์ใด ๆ เลย แต่กับสิ่งที่เสี่ยวเถียนได้สอนนั้น เราสามารถเห็นผลได้ทันที
อันไหนสำคัญมากน้อยกว่าเราสามารถตัดสินเองได้ แน่นอนว่ามันก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น
อันหรงเสวียก็อยากเชิญเสี่ยวเถียนมากินข้าวที่บ้าน แต่เลขาอันไม่ยอม เหตุผลหลัก ๆ คือ ที่บ้านมีคนป่วย ควรให้พวกเขาได้พักก่อนแล้วค่อยชวนวันหลังก็ยังได้
เหตุผลนี้อันหรงเสวียเข้าใจได้ ภรรยาของตนเองยังป่วยอยู่ และตัวเองก็ทำอาหารไม่เก่ง รอให้เธอหายดีก่อนดีกว่า จะได้เตรียมอาหารไว้เลี้ยงพวกเขาทั้งสามด้วย
เลขาอันให้ผู้หญิงที่บ้านเตรียมอาหารรอไว้แล้ว โดยให้ผู้หญิงในหมู่บ้านที่ทำอาหารเก่ง ๆ มาช่วย เป็นการปฏิบัติที่สูงส่งมาก ๆ ขนาดหัวหน้าหมูบ้านเขายังไม่เคยทำแบบนี้เลย
ก็มันแตกต่างกันนี่นา
เพียงเสี่ยวเถียนก้าวเท้าเข้าประตู ก็ได้กลิ่นหอมลอยออกมายังลานบ้านแล้ว