บทที่ 835 เสี่ยวซู่
บทที่ 835 เสี่ยวซู่
ขณะกำลังสนทนากัน เสี่ยวลิ่วจื่อกลับเข้ามาพร้อมกับเด็กร่างกายมอมแมมคนหนึ่ง บอกได้เลยว่ามอมแมมจริง ๆ เพราะเสื้อผ้าสกปรกมาก ทั้งยังขาดรุ่งริ่งและเขรอะไปด้วยโคลน พอเห็นผู้ใหญ่อยู่ในลานบ้านเต็มไปหมด เด็กชายก็ก้มหัวลงดึงชายเสื้อไปมา ไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ
พวกผู้ใหญ่ก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกันที่หลานชายกลับมาพร้อมกับเด็กชายแปลกหน้า ไม่ว่าจะมองยังไง เด็กคนนี้ก็ดูเหมือนขอทาน พวกเขาจึงได้แต่นิ่งงัน ไม่รู้จะพูดอะไร
“เสี่ยวลิ่ว เด็กนี้คือ…” อันหรงเสวียเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น
เขาไม่รู้จักเด็กคนนี้ จะต้องไม่ใช่คนจากหมู่บ้านเราแน่นอน แล้วหลานชายเราไปรู้จักเขาได้ยังไง?
อันหรงเสวียคิดว่าเด็กชายคนนี้น่าจะเป็นขอทานเสียมากกว่า แล้วทำไมเขาถึงมาหาพวกเราล่ะ?
“คุณยาย คุณลุง คุณป้า พี่สาว นี่คือเสี่ยวซู่ เป็นเพื่อนสนิทของผมเองครับ”
เสี่ยวลิ่วไม่ล่วงรู้ความคิดของผู้ใหญ่ จึงแนะนำเพื่อนให้ทุกคนรู้จักอย่างจริงจัง แววตาที่เต็มไปด้วยความสุขเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ พวกเขารู้เลยว่าเสี่ยวลิ่วชอบเพื่อนคนนี้มาก
หลี่กุ้ยฮวาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เด็กจากหมู่บ้านหนานเหอที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ กันนี่ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมาหาพวกเราล่ะ?”
บ้านเกิดหลี่กุ้ยฮวาอยู่ที่เมืองข้าง ๆ กันนี่เอง ไม่ไกลจากหมู่บ้านหนานเหอที่เอ่ยถึง เสี่ยวเถียนฟังแล้วก็นึกสงสัย ถึงจะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็รู้ว่าเมืองข้าง ๆ ที่ว่ามันไม่ได้ใกล้กันเท่าไร แล้วทำไมเด็กน้อยตัวมอมแมมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?
อันหรงเสวียมองภรรยา “คุณรู้จักเขาหรือ?”
“รู้จักค่ะ เขามาจากหมู่บ้านหนานเหอน่ะ เป็นเด็กยากจนเสียพ่อไปตั้งแต่สองปีก่อน เมื่อปีที่แล้วก็เสียแม่ไป เลยอยู่กับย่าสองคนจนเมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
หลี่กุ้ยฮวาว่าพลางมองเด็กชาย ยามเห็นเนื้อตัวสกปรกก็เอ่ยขึ้น “มานี่มา เดี๋ยวป้าล้างหน้าล้างตาให้”
เสี่ยวเถียนได้ยินก็อดชื่นชมไม่ได้
เธอเป็นผู้หญิงที่ดีนะ มีความเห็นอกเห็นใจต่อลูกคนอื่นด้วย
เสี่ยวเถียนไม่รู้เรื่องนี้ ที่จริงก่อนหลี่กุ้ยฮวาจะแต่งงานกับอันหรงเสวีย เธอผ่านความลำบากมานับไม่ถ้วน แม้แต่การสูญเสียลูกไปด้วย เพราะแบบนี้จึงชอบเด็กไปโดยปริยาย
เสี่ยวซู่ดูอาย ๆ ไม่กล้าตามคุณป้าไป
เสี่ยวลิ่วจึงจับมือเขา “พวกเราไปด้วยกันนะ”
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตามไป ก้าวถอยหลังราวกับว่ากลัว
“เสี่ยวซู่ไม่ต้องกลัวนะ ลุงกับป้าของฉันเป็นคนดี ดีกับเด็ก ๆ มากเลย ไม่ตีนายแน่นอน”
ประโยคนี้ทำให้ผู้ใหญ่โดยรอบรู้สึกบางอย่าง
“ป้าไม่ตีหรอกนะ แต่แค่อยากทำความสะอาดเนื้อตัวให้ แล้วค่อยกินข้าวกัน”
ท้องเสี่ยวซู่ร้องตอบสนองทันทีที่สิ้นประโยค
เด็กชายหิวมาก
“เสี่ยวลิ่วพาเพื่อไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไป ซาลาเปาที่ป้าทำเมื่อเช้ายังมีอยู่ เอาไปให้เสี่ยวซู่สองลูกนะ”
หลี่กุ้ยฮวาเห็นเสี่ยวซู่ปฏิเสธอย่างชัดเจน ก็วานให้หลานชายพาไปแทน
สุดท้ายเด็กชายผู้มอมแมมก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้รับอนุญาตให้ไปกับเพื่อน และยังได้ซาลาเปามากินอีก
เดิมทีเขาเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก แต่ใบหน้ามอมแมมเฉย ๆ และแววตามีชีวิตชีวาก็ทำให้คนเห็นรู้สึกชื่นชอบ
เสี่ยวลิ่วพาเพื่อนเดินไปอย่างมีความสุข
หลี่กุ้ยฮวาถอนหายใจ “ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนย่าเพิ่งเสียไป ตอนนี้กลายเป็นเด็กกำพร้าแล้ว น่าสงสารเสียจริง!”
“เขาไม่มีญาติคนอื่นหรือคะ?” เสี่ยวเถียนถาม
ถึงพ่อแม่และย่าจะจากไปแล้ว แต่ก็น่าจะมีญาติบ้างสิ? แล้วทำไมถึงระเหเร่ร่อนมาไกลถึงขนาดนี้ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีหรอกนะ เหมือนจะอายุแค่ห้าหกขวบด้วยซ้ำ
“คงมีบ้าง แต่เราแค่คนหมู่บ้านข้าง ๆ น่ะ ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่เหมือนว่าจะมีลุงกับอาอยู่นะ”
มีผู้ใหญ่ตั้งสองคนแต่ก็ยังเร่ร่อนมาถึงนี่อีก คงห้ามไม่ให้คิดเยอะไม่ได้หรอก
“ผู้ใหญ่สองคนนั้นคงไม่อยากเลี้ยงเด็กคนนี้แน่เลย” หญิงชราถอนหายใจ
ทีแรกก็พ่อเสีย จากนั้นก็ตามด้วยแม่และย่าอีกคน ไม่ว่าใครก็คิดว่าเขาถูกกำหนดให้เกิดมาโชคร้าย ไร้เครือญาติ
พอแกพูดแบบนี้ ทุกคนเหมือนตกอยู่ในวังวน
ก็จริง ไม่มีใครเต็มใจแบกรับเด็กที่มีชื่อเสียแบบนี้ไว้หรอก
หญิงชราอมทุกข์นัก
ลูกชายเธอก็คงต้องทนทุกข์จากชื่อเสียเหมือนกันหากเสี่ยวเถียนไม่ได้ช่วยภรรยาและหลานชายเอาไว้
อันหรงเสวียเข้าใจสิ่งที่แม่บอก
เขาขบคิด “แม่ ผมว่าจะไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แม่ยินดีให้เขาอยู่กับเราสักสองสามวันหรือเปล่า?”
เพราะเห็นใจเสี่ยวซู่ผู้มีชื่อเสียติดตัวเหมือนตัวเอง แต่คนเป็นแม่ไม่ได้ตอบ แต่กลับมองไปที่ลูกสะใภ้
หลี่กุ้ยฮวาเห็นก็เข้าใจ เธอยกยิ้ม “ฉันเห็นด้วยค่ะแม่”
สามีเธอนี่จริง ๆ เลย ทำไมเรื่องแค่นี้จะทำไม่ได้ล่ะ แบบนี้แล้วยังต้องห่วงว่าเธอจะลำบากกับแค่การดูแลเด็กที่มีชื่อเสียและไร้ญาติมิตรแค่สองสามวันด้วยหรือ
พวกเสี่ยวเถียนมองหน้ากันและกัน รู้สึกประทับใจกับความเมตตาของคนบ้านอันหรงเสวียมาก
การที่คนธรรมดา ๆ ให้ซาลาเปาสองลูก กับบะหมี่อีกถ้วยมันไม่ได้ยาก แต่การนึกถึงเด็ก ๆ แบบนี้สิไม่ใช่เรื่องง่าย
“ไปสอบถามตอนนี้ไหมล่ะ ยืมจักรยานหัวหน้าหมู่บ้านไปน่าจะไวนะ” หญิงชราเป็นห่วงกว่าลูกชายเสียอีก
อันหรงเสวียมองพวกเสิ่นจื่อเจินที่ตนเชิญมากินข้าว แต่ตัวเองกลับออกไปข้างนอกแบบนี้ช่างน่าละอายใจจริง ๆ
“ถ้าไม่ไกล ไปตอนนี้ก็ดีนะ เดี๋ยวผมไปด้วย” เสิ่นจื่อเจินยิ้ม
อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาอาหาร คงดีถ้าเรารู้เรื่องเด็กชายมากขึ้น
“อาจารย์ไม่ไปดีกว่าไหมครับ? ถนนเดินลำบากน่ะ” อันหรงเสวียรีบบอก
“ผมเคยมาที่นี่บ่อยแล้ว นอกจากหมู่บ้านคุณก็ไม่เคยไปที่อื่นเลย อยากเดินเล่นพอดีด้วย วันนี้กินข้าวช้าหน่อยแล้วกัน”
เขาอยากรู้เรื่องเด็กคนนี้ก่อนจะกลับ
ก็เลยอยากจะออกไปดูสักหน่อย
เสี่ยวเถียนเห็นท่าทางลุงเขยก็ถอนหายใจ ถึงแกจะไม่มีลูกเป็นของตัวเองแต่ก็ชอบเด็กมากเลยสินะ?