บทที่ 851 สามัคคีคือพลัง
บทที่ 851 สามัคคีคือพลัง
หลังจากเห็นกระแสน้ำไหลมาขวาง คนบางส่วนที่นั่งรอก็เริ่มร้องไห้
“เลขาตู้คะ รีบจัดกำลังคนไปเตรียมซ่อมเขื่อนเถอะค่ะ นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้นะ”
เสี่ยวเถียนเอ่ยกับเลขาตู้และนายกเหลียงเสียงดัง การที่ชาวบ้านมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้คือ หนึ่งง่ายต่อการสร้างความวิตกกังวล และสองมันจะทำให้พวกเราเสียเวลา
ตอนนี้เรามีเวลาอยู่ ทำไมไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้แล้วคอยป้องกันบรรเทาสาธารณภัยล่ะ?
เพียงประโยคเดียวได้ปลุกสติคนทั้งสอง
เลขาตู้และนายกเหลียงนึกถึงปัญหาขึ้นมาได้ เวลาไม่เคยรอใคร เราจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงเขื่อนจะแตกเพราะซ่อมไม่ทันแต่สิ่งสำคัญคือซ่อมมันขึ้นมาใหม่
เราต้องทำการปิดเขื่อนให้ราบรื่นที่สุด จะได้มั่นใจว่าแม่น้ำจะไม่เปลี่ยนเส้นทางมา และก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนข้างล่าง
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสั้น ๆ ทั้งสองเดินหน้าทำงานกันต่อ
บนเขื่อนมีคนแข็งแรงอยู่หลายคน ใกล้ ๆ กันก็มีก้อนหินซึ่งง่ายต่อการขนย้าย บนเขายังมีต้นไผ่ เราสามารถเอาของพวกนี้มาใช้ป้องกันน้ำท่วม และคอยบรรเทาสถานการณ์ได้
“ทุกคนอย่าร้องไห้นะ เรามาใช้เวลานี้ซ่อมเขื่อนเพื่อบรรเทาภัยพิบัติกันเถอะ!”
เลขาตู้ตะโกนเสียงดังขณะเตรียมงาน
เรามีเจ้าหน้าที่จากหลาย ๆ หมู่บ้านอยู่ด้วย ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน และแบ่งกลุ่มกันออกไป
คนเป็นผู้นำจะต้องเป็นคนมีกึ๋น รู้ว่าตอนนี้ต้องทำอะไรโดยไม่ให้คนอื่นมาคอยเตือน เลขาตู้และนายกเหลียงจัดการทุกอย่างจนเป็นไปอย่างเรียบร้อย
คนนึงส่งกลุ่มคนลงพื้นที่เพื่อไปซ่อมเขื่อนโดยพลัน อีกคนนึงเดินไปต้นน้ำเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะยังไงพวกเราก็ยังอ่อนแออยู่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาร้ายแรงของเขื่อน ที่ต้นน้ำมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ด้วย ถ้าได้พวกเขาเข้ามาช่วยอีกแรงคงจะดีที่สุดแล้ว
อีกอย่างเวลาคนพวกนี้จะมาก็อยากมาดูสถานการณ์ทั้งนั้น คนที่จะหยิบเครื่องมือมาพร้อมมีไม่เยอะหรอก ตอนนี้เราทำงานกันแล้วด้วยมือเปล่า จึงยังทำในสิ่งจำเป็นไม่ได้
คนบางส่วนง่วนอยู่กับการคิดหาวิธีเคลื่อนย้ายก้อนหินเพื่อโยนลงแม่น้ำเชี่ยวกราก น้ำเชี่ยวจนคันดินพัง ตอนเราโยนหินลงมันเกิดเป็นคลื่นน้ำวนแล้วหายไปในพริบตา ไม่รู้ว่าลงถึงก้นแม่น้ำหรือพัดหายไปที่อื่น
เลขาอู๋มอง “วิธีนี้ไม่ได้ผลแน่ เราต้องใช้วิธีเดิมจัดการแล้วละ”
ที่นี่มีหินไม่เยอะ ถ้าโยนลงไปหมดแล้วมันโดนพัดหายไปงานช่วยเหลือครั้งหน้าลำบากแน่ ผู้คนที่นี่มีส่วนร่วมกับการเผชิญกับน้ำท่วมมาบ้างแล้ว จึงเข้าใจสิ่งที่เลขาอู๋บอกได้ในทันที
“แต่พวกเราไม่มีเครื่องมือนะครับ จะตัดไผ่ด้วยมือก็ไม่ได้ด้วย” มีคนหนึ่งเอ่ยอย่างเป็นกังวล
ได้แต่นึกเสียใจที่ตอนมาไม่ได้หยิบอุปกรณ์อะไรมาด้วย แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
“ย้ายหินมานี่ก่อนแล้วกัน ตอนคนต้นน้ำมาพวกเขาคงพกเครื่องมือมาด้วย” เลขาอู๋ตัดสินใจในทันที
เสี่ยวเถียนหาสถานที่ปลอดภัยได้แล้ว
“ที่นี่ค่อนข้างปลอดภัย อาจารย์อยู่รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมกับเสี่ยวเถียนจะไปช่วยงานเขาหน่อย”
ซานกงมองคนอื่น ๆ ช่วยกันทำงาน จึงเสนอตัวว่าจะไปช่วยพวกเขาเหมือนกัน
ในฐานะที่เป็นคนหนุ่ม เขายืนมองเฉย ๆ ไม่ได้
เสิ่นจื่อเจินมีคำค้านในใจ
เจ้าเด็กคนนี้ ถ้าอยากช่วยก็ไปสิ จะเอาน้องไปทำไมล่ะ
ไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวหรือน้องชายกันแน่
“เสี่ยวเถียนอยู่กับลุงไหม” เสิ่นจื่อเจินลองถาม
เด็กสาวส่ายหัว “ที่นี่ปลอดภัยค่ะ ถ้าลุงเขยไม่เดินไปไหนมาไหนก็ไม่มีอันตรายนะ หนูกับพี่สามจะไปช่วยงานเอง ยิ่งคนเยอะพลังก็ยิ่งเยอะ”
ถึงจะมีคนอยู่แล้วประมาณร้อยกว่าคน แต่การทำงานบรรเทาสาธารณภัยคนแค่นี้ไม่พอหรอกนะ ความจริงแล้วเสิ่นจื่อเจินเองก็อยากไป แต่สภาพร่างกายไม่อำนวยจริง ๆ จึงทำได้แค่รอในที่ปลอดภัยตามที่หลานบอก
เห็นเด็ก ๆ กระตือรือร้นขนาดนี้เขาซาบซึ้งใจนัก ถ้าตัวเองไปด้วยคงจะถ่วงแข้งถ่วงขาไม่น้อย!
ตอนนี้ทุกคนสามัคคีกันมาก ไม่นานนักก็มีคนมาช่วยไม่น้อยเลย
เป็นอย่างที่คิดไว้ คนจากต้นน้ำถืออุปกรณ์ติดมือมาด้วย หลังจากกลุ่มชายหนุ่มเข้ามา ก็มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยตามมา นอกจากนี้พวกเขายังเอาไผ่ยาวและเชือกป่านมาด้วย
ถึงสองพี่น้องบ้านซูจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะใช้ไผ่ในสถานการณ์แบบนี้ได้
พวกรถเข็นสองล้อน่าจะมีประโยชน์ที่สุดไม่ใช่หรือ?
ไม้ไผ่ทำอะไรได้น่ะ?
หรือจะใช้แรงงัดเพื่อขนย้าย?
หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็รู้ว่าตัวเองต่างหากที่รู้น้อย ชาวบ้านผูกไผ่เข้าด้วยกันทำให้มีลักษณะเหมือนถุงที่มีช่องโหว่ตรงกลาง จากนั้นก็ใส่หินเล็กใหญ่ลงไป
มันเป็นวิธีการแบบไหนนะ
หลังจากทำเสร็จก็เอามันไปเกาะติดกับรอยแตกของเขื่อนโดยตรง
เสี่ยวเถียนเข้าใจได้ในทันที ถ้าทำแบบนี้เราก็จะมั่นใจแล้วว่าหินจะไม่ถูกซัดหายไปไหนนั่นเอง
พลังของผู้คนไม่มีที่สิ้นสุด นั่นรวมถึงภูมิปัญญาด้วย เมื่อเข้าใจจุดประสงค์เธอก็เริ่มลงมือทันที ช่วงไหนที่ของขาด เธอก็จะแอบแลกของในร้านค้ามาแล้ววางไว้ในมุมอับสายตา
โชคดีที่ตอนนี้คนเยอะ แถมยังยุ่งกันหมดด้วยจึงไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำของเธอ อีกอย่างเป็นเพราะเธอค่อนข้างระวัง และไม่ทำอะไรกระโตกกระตากให้เป็นที่สงสัย
หลังจากมีคนเอาไผ่ลงมาเพิ่ม ปัญหาก็คลี่คลายลง
ด้วยพละกำลังในตอนนี้มีทุกคนแบ่งงานกันทำ ร่วมใจทำงาน ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เราผูกไม้ไผ่เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้ผู้หญิงใส่หินลงไป
เสี่ยวเถียนแข็งแกร่งมาก และเสนอตัวช่วย
ผู้หญิงในหมู่บ้านเป็นกังวลว่าสาวน้อยบอบบางจะขนไม่ไหว แต่หลังจากนั้นก็พบว่าเด็กคนนี้เผลอ ๆ เก่งกว่าเราที่ทำงานในฟาร์มเสียอีก ระหว่างนั้นพวกเธอสนทนากัน พลอยทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วก็ไม่ได้ลดลงเลย
พวกเขาไม่ได้คิดหรอกว่าตัวเองจะสิ้นเปลืองพลังงานหรือเปล่า แต่ลงแรงทำอย่างเต็มที่กันทุกคน