บทที่ 859 มีแค่คนรวยเท่านั้นแหละ
บทที่ 859 มีแค่คนรวยเท่านั้นแหละ
คนทั้งสามพูดคุยกันอย่างอิสระในห้องส่วนตัว
ซานกงยังหนุ่มอยู่ เขาทำทุกอย่างอย่างขยันขันแข็งด้วยการเสิร์ฟน้ำให้เราสามคน เพราะกินซาลาเปาและผลไม้ไปนิดนึงก่อนหน้านี้ พอขึ้นรถไฟจึงมีคอแห้งบ้าง เลยต้องจิบน้ำสักหน่อย
เสี่ยวเถียนชงนมมอลต์ให้เสิ่นจื่อเจิน
ความจริงนมที่เอามาเรากินหมดไปแล้ว แต่ตอนอยู่สถานีมีคนยัดกระป๋องผงมอลต์มาให้ด้วย ในเมื่อเอาคืนกลับไปไม่ได้ ก็เอาออกมาใช้ชงบำรุงร่างกายลุงเขยก็แล้วกัน
“เอาของดี ๆ แบบนี้มาให้กันทำไมนะ แถมไม่รู้ตัวคนให้เสียด้วย จะตอบแทนยังไงล่ะที่นี่”
เสิ่นจื่อเจินพึมพำ เขาไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แต่กลายเป็นว่าเหตุการณ์นี้เขากลับได้ทำเข้าแล้ว
“ในเมื่อเขาให้เราแล้ว ลุงเขยก็ต้องรับไว้นะคะ”
“แต่ลุงรู้สึกไม่สบายใจเลย!”
“ตอนนี้ลุงยังแข็งแรงอยู่ การตอบแทนที่ดีที่สุดคือค้นคว้าเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเพื่อให้พวกเราได้กินอิ่มกันไงคะ”
เสี่ยวเถียนยิ้มปลอบใจ
ชาติที่แล้วเสิ่นจื่อเจินมีอายุอยู่ถึง 70-80 ปี ซึ่งถือว่าเป็นอายุที่เยอะมาก แต่ว่าอีกสิบปีหลังจากนี้สุขภาพของเขาจะย่ำแย่ลง และไม่สามารถทำการวิจัยได้อีกต่อไป
รายละเอียดพวกนี้ได้รับการรายงานหลังจากการเสียชีวิตของเขา เขาถือว่าเป็นคนเก่าแก่ เธอก็เลยได้ฟังเรื่องนี้ผ่านหูอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะมีอายุเท่าไร และทำการวิจัยต่อได้นานแค่ไหน
น่าจะทำได้นานขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า?
จากที่รายการทีวีบอกไว้ สมัยอาจารย์เสิ่นอยู่ชนบท เขาไม่มีอาหาร เสื้อผ้า หรือเครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอ แม้แต่อาการป่วยก็ไม่ได้รับการรักษาจึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ
นักวิทยาศาสตร์คนนี้ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าคนในประเทศจะมีอาหารการกินที่เพียงพอ
แต่ในชาตินี้เหมือนจุดเริ่มต้นจะแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย สุขภาพของแก่คงจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ยังไงมันก็เป็นเพียงความคิดของเธอเอง เพราะหลังจากกลับมาเมืองหลวง แกก็ทำงานหนักมาก ดูแก่ตัวกว่าตอนอยู่ในหมู่บ้านเสียอีก
กลับไปต้องบอกให้ป้าเถาฮวาดูแลลุงเขยอย่างดีแล้ว และต้องให้เขาพักผ่อนให้เป็นเวลาด้วย แน่นอนว่าความคิดพวกนี้เธอแค่คิดในใจเท่านั้น ไม่ได้พูดมันออกมา
พวกเราสนทนาไปด้วยจิบน้ำไปด้วย
หัวข้อที่คุยมีตั้งแต่ความเป็นมิตรของผู้โดยสารแปลกหน้าที่สถานีรถไฟ เรื่อยไปถึงความเป็นมิตรของคนในหมู่บ้าน แล้วก็มาถึงเรื่องข้าวสารที่ได้แบกกลับมาเมืองหลวงด้วย
เสี่ยวเถียนบอกว่า ทุกคนในบ้านของเราต้องได้รับส่วนแบ่งข้าวไปด้วย ไม่ใช่แค่ครอบครัวลุงเขยเท่านั้น ต้องมีบ้านคุณปู่ฉือ บ้านคุณปู่คุณย่าบุญธรรม บ้านคุณปู่ถานด้วย เธออยากให้พวกเขาได้ลิ้มลองข้าวเหล่านี้ดู
“พี่ว่าย่าอวี่ไม่เอาแน่ ๆ แกคงรอให้ย่าเราเป็นคนทำแล้วรอกินมากกว่า แกเคยบอกฝีมือเข้าครัวของแกเรียกได้ว่าเป็นการสิ้นเปลืองวัตถุดิบอย่างดีเลย”
ซานกงแกล้งเลียนแบบท่าทางของหญิงชรา ทำเอาอีกสองคนที่เหลือหัวเราะลั่น
“ก็จริงอยู่ ฝีมือคุณป้าไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไรน่ะ” เสิ่นจื่อเจิน
“เสี่ยวเถียน ข้าวพวกนี้ลุงให้หลานเลยแล้วกัน บ้านหลานน่าจะแบ่งยากกว่าน่ะ” จากนั้นก็ยิ้มขื่น
เขาเคยมาตั้งแต่สมัยคนที่นี่ไม่ยอมขายข้าวให้ แม้จะพยายามแต่ก็ไม่ได้ผล เลยเอากลับไปได้แค่สี่ห้าจินกินกันที่บ้านเท่านั้น
คราวนี้มีเสี่ยวเถียนเดินทางมาด้วย และได้เธอช่วยทำแผ่นพับเรื่องการปฐมพยาบาล ก็เลยได้ข้าวกลับมาหลายร้อยจินเลย
น่าอิจฉาจัง!
เสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนได้เสมอ
ไม่แปลกใจที่คุณย่าซูมักจะบอกว่า หลานสาวเป็นที่ชื่นชอบของราชามังกร ถึงจะเป็นความเชื่อใด ๆ แต่บางเรื่องก็ยากที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน
“ได้ยินลุงเขยพูดแบบนี้แล้วหนูรู้สึกละอายใจจังค่ะ หนูก็แค่ให้ความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเฉย ๆ ที่สำคัญกว่ามันคือการที่พวกเขาเห็นความปรารถนาดีต่างหากค่ะ”
เสี่ยวเถียนเชื่อว่าถ้าฝนไม่ได้ตก ข้าวที่เราเอากลับมาคงไม่เยอะเท่านี้หรอก
พูดกันตามตรงคือเราเข้าไปมีส่วนร่วมกับพวกเขา และทำให้ฝ่ายนั้นได้รับรู้ถึงการยกย่องก็เลยได้รับการตอบแทนแบบนี้น่ะ
“ห่วงก็แต่คนที่เอาข้าวมาให้เราจะมีกินถึงข้าวรอบใหม่หรือเปล่าเนี่ยสิ”
ต่อให้มีเงินก็ไม่กล้าใช้ซื้อข้าวกินหรอก คงจะเอาข้าวสารมาทำเป็นโจ๊กแทน
“สภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ไม่ดีเท่าไร แต่พวกเขาก็เต็มใจจะมอบข้าวให้เรา บุญคุณนี้จะจดจำไว้ค่ะ” เสี่ยวเถียนตื้นตันใจ
“แต่เราจะเอาเปรียบพวกเขาเฉย ๆ ไม่ได้นะ” เสิ่นจื่อเจินว่า “ต้องตอบแทนบุญคุณพวกเขาด้วย”
เสี่ยวเถียนยิ้มสดใสเมื่อมีความคิดตรงกลับลุงเขย
“หนูมีความคิดอยู่ค่ะ ไว้กลับเมืองหลวงจะส่งซอสเนื้อที่ผลิตจากโรงงานไปให้พวกเขาดีกว่า ลุงเขยไม่ต้องห่วงนะ หนูไม่ให้พวกเขาเสียเปรียบแน่นอนค่ะ”
เธอคิดจะให้เงินแต่ไม่ได้หยิบให้ตรง ๆ เลยกะว่ากลับไปจะโอนไปให้ทีหลัง แต่อันหรงหัวปฏิเสธเสียงแข็ง เขาบอกว่านี่คือการรวมมือจากทุกคน ถ้าเขาแอบรับอยู่คนเดียว เกิดใครรู้เข้าก็บอกเขาเป็นพวกหิวเงินน่ะสิ
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะตอบอะไร ก็เลยส่งซอสเนื้อไปให้แทน ถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน เธอมองออกว่าที่นี่มีเนื้อสัตว์ค่อนข้างน้อย และคนส่วนใหญ่ก็ไม่เต็มใจใช้เงินซื้อเนื้อด้วย
“ได้อยู่แล้ว มีแค่คนรวยเท่านั้นแหละที่พูดแบบนี้ได้น่ะ” เสิ่นจื่อเจินหัวเราะ
เสี่ยวเถียนเป็นเด็กมีเงินก็เลยพูดได้ ถ้าเป็นเด็กธรรมดาก็คงไม่พูดแบบนี้ออกมาหรอก
“งั้นฝากเรื่องนี้ไว้กับหลานแล้วกัน ลุงเขยไม่เกรงใจละ”
“ฝากเรื่องนี้ไว้กับเธอแล้วกัน พี่สามไม่เกรงใจแล้ว!” ซานกงเลียนแบบตาม
หลังจากเฮฮากันสักพัก พวกเราก็ไปอาบน้ำ
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง ทั้งสามแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่เตียง
เสี่ยวเถียนนอนอ่านหนังสือตามปกติกระทั่งเที่ยงคืน จากนั้นก็เข้าสู่ความง่วงงุน เธอเข้านอนอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกยังคิดว่าค่อนข้างเป็นค่ำคืนที่สงบ แต่จู่ ๆ ก็มีเรื่องเกิดขึ้นในตอนกลางดึกคืนนั้น