บทที่ 861 กลัวแล้ว
บทที่ 861 กลัวแล้ว
เห็นกันอยู่จะ ๆ ว่าสองคนข้างล่างกำลังมึนเมากับกลิ่นยาที่ใช้มอม และไม่มีวี่แววจะตื่นขึ้นมา เขาเป็นชายฉกรรจ์หนึ่ง ก็แค่เด็กผู้หญิงคนเดียวมันไม่คณามือของเขาหรอก!
ขอแค่จับตัวอีกฝ่ายไว้ได้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะรั้นไม่ฟังกันแล้ว เอกสารการวิจัยอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้น บางทีเด็กสาวอาจจะพูดอะไรเพื่อเบี่ยงเบนตนก็ได้
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาผิดหวังมาก อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กก็จริง แต่เธอไม่รู้สึกหวาดกลัวสักนิด การเคลื่อนไหวของเธอนั้นมั่นคงเป็นอย่างมาก
เสี่ยวเถียนไม่ปล่อยให้สิ่งที่ชายวัยสี่สิบกำลังรอคอยอยู่นั้นสมหวัง
เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้จะต้องได้รับการฝึกฝนมาแน่นอน และไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ!
เสี่ยวเถียนกลอกตาเมื่อได้ยินคำขู่อันเดือดดาล
เจ้านี่มันโง่หรือเปล่า?
คิดว่าเธอโง่จนฟังคำเขาแล้วปล่อยตัวไปน่ะหรือ?
ปล่อยน่ะนะ?
ทำเพื่อให้ตัวเองโดนฆ่าหรือไง?
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนฆ่า”
เสี่ยวเถียนพูดก่อนจะใช้นิ้วมือปาดบริเวณคอชายคนนั้นแผ่วเบา มันแผ่วเบาราวกับสายลมพัดผ่าน ลักษณะเหมือนทำโดยบังเอิญ แต่ก็ทำเขาเหงื่อแตกพลั่กจนชุ่มหลังได้ เพราะจุดที่เด็กหญิงสัมผัสมันเป็นจุดอ่อน แค่ลงมือเบา ๆ ก็สามารถฆ่าเขาได้แล้ว
ในที่สุดก็รู้แล้วว่า ตนกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันยากลำบากแล้วในวันนี้ ไม่แปลกใจที่เสิ่นจื่อเจินพาเธอมาด้วย เดิมทีคิดว่าพวกเขาเป็นญาติกัน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือบอดี้การ์ดหญิง แถมยังไม่เป็นที่สะดุดตา ใครต่อใครเห็นก็ไม่คิดเช่นนั้นหรอก
เจ้าเสิ่นจื่อเจินนี่มันร้ายกาจจริง ๆ
แต่คิดได้ตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ? เห็นได้ชัด ๆ ว่ามันไม่มีประโยชน์!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบลง เสี่ยวเถียนพึงพอใจนัก เพราะหลังจากนี้จะมีเวลาให้เขาพูดอีกเยอะแยะเลย
แต่พอเป็นนักโทษแล้วจะพูดจาไร้สาระได้หรือ? ยังไงเสียก็ต้องมีจิตสำนึกของการเป็นนักโทษด้วย ไม่งั้นเธอไม่ใจดีด้วยหรอกนะ!
เสี่ยวเถียนแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะหยิบเชือกป่านออกมามัดอีกฝ่ายเป็นบ๊ะจ่าง แล้วโยนลงพื้น ก่อนเอาเศษผ้ายัดปากตบท้าย แต่ว่าเสี่ยวเถียนไม่ปล่อยให้เขานอนสบายๆ อยู่บนพื้นหรอกนะ เธอจับให้เขาคุกเข่าลงข้างนึง โดยกดหัวเขาติดพื้น
ท่านี้ทรมานที่สุดแล้ว
เสี่ยวเถียนแตะแขนเสิ่นจื่อเจิน เธอต้องมั่นใจก่อนว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร ถ้าทั้งสองปลอดภัย พวกเราจะสามารถปรึกษากันได้
หมอนี่มันทำร้ายพวกเขา แววตาเธอจึงปรากฏความโหดร้ายเพียงครู่ ถึงจะเป็นกลิ่นยามอมเมาระดับสูง แต่ก็ไม่ใช่ของที่เอามาใช้ได้ทั่วไปเสียหน่อย หากใช้มากไปก็อาจส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ได้
โดยเฉพาะยาที่มีฤทธิ์ทำลายถึงสมอง และไม่สามารถรักษาได้
เสิ่นจื่อเจินและซูซานกงต่างวิจัยเรื่องการผลิตเมล็ดพันธุ์ บทบาทหน้าที่ของสมองของเขามีความสำคัญมาก เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดอันตรายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นได้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่แน่
ภายใต้แสงจันทร์อันสลัว เสี่ยวเถียนตรวจชีพจรทั้งสองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะได้คำตอบว่าพวกเขามึนเมากับกลิ่นยา แต่ได้รับเข้าไปในปริมาณไม่ได้มากนัก
ถ้ามียาแก้ก็ให้ดมซะ แต่ถ้าไม่เราก็ปลุกพวกเขาแทน อีกฝ่ายใช้ยาชั้นดีแต่ไม่ค่อยยินดีที่จะใช้เยอะ
เสี่ยวเถียนรีบค้นตัวมันอย่างรวดเร็วก่อนจะพบตัวยาที่ส่งควันออกมา และธูปสั้นอีกแท่งหนึ่ง
หลังดมกลิ่นพิสูจน์ก็พบว่ามันคือยาแก้อาการนั่นเอง
“แกนี่โชคดีมากนะที่ใช้ของพวกนี้จำนวนน้อย ไม่งั้นฉันคงฆ่าแกไปแล้ว”
หลังจากได้รับยาแก้พิษมา เสี่ยวเถียนค่อนข้างอารมณ์ดีก่อนจะเตะชายคนนั้นอย่างแรง ที่จริงไม่ต้องออกแรงใด ๆ เลยด้วยซ้ำ เธอหาจุดฝั่งเข็มที่เจ็บเจียนตายโดยเฉพาะ จากนั้นเตะเข้าไปตรง ๆ ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดขนาดไหนอยู่
เขาอยากแหกปากให้ลั่นแต่โดนผ้าอุดไว้อยู่ จึงได้แต่คร่ำครวญอื้ออึงในลำคอ มีเพียงสีหน้าบิดเบี้ยวเท่านั้นที่บ่งบอกความรู้สึกได้
เธอรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามแสดงความคิดในใจออกมา แต่เธอไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสหรอกนะ
“ความเจ็บปวดที่ฉันมอบให้มันเจ็บมากไหมล่ะ? ในเมื่อแกตัดสินใจที่จะลงมือ ก็คิดเสียบ้างว่าถ้าพลาดขึ้นมาจะต้องเจอกับอะไรน่ะ!”
เด็กสาวควานหากล่องไม้ขีดไฟ จุดธูปแล้วส่ายไปมาบริเวณจมูกเสิ่นจื่อเจินกับซูซานกง ในไม่ช้าคนทั้งสองก็ตื่นขึ้น
พวกเขาดูมึน ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ
“ลุงเขย พี่สาม ตั้งสติสักหน่อยค่ะ ไม่มีตรงไหนรู้สึกแปลก ๆ ใช่ไหมคะ ถ้ามีรีบบอกหนูนะ”
ถึงจะจับชีพจรมาแล้ว แต่ถ้ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นล่ะ? เสี่ยวเถียนก็เลยถามอีกครั้งตามหน้าที่ที่ควร
ทั้งสองมองเด็กสาวด้วยความสับสน ก่อนจะได้ยินเด็กสาวอธิบายให้ฟัง
“หนูมัดเขาไว้แล้วค่ะ ถ้าไม่มีอะไรพี่สามรีบไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจนะ”
ถึงเธอจะจับเขาไว้ได้ แต่ในสังคมที่อยู่ภายใต้กฎหมายเราไม่สามารถทำอะไรโดยพลการได้หรอกนะ เราควรส่งเรื่องนี้ไปให้ตำรวจ และทางที่ดีคือควรหาสถานที่ที่เหมาะจะขังคนแบบนี้ไว้ด้วย พอถึงเมืองหลวงจะได้ส่งไปยังสถานีตำรวจเพื่อให้เจ้าหน้าที่สอบสวนซะ
ซานกงนึกได้ว่าตัวเองที่เป็นคนบอกว่าจะเฝ้าระวัง แต่ผลคือไม่รู้เลยว่าโดนมอมยา ตอนนี้จึงรู้สึกละอายใจมาก แต่เมื่อได้ยินว่าได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำ เขารีบลุกจากเตียงแล้วออกไปทันที
เสี่ยวเถียนที่เห็นการเคลื่อนไหวอันกระฉับกระเฉงของพี่สามเธอพลันโล่งใจ ดูจากตอนหมุนตัวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสบายดี แต่ไม่รู้ว่าลุงเขยจะเป็นยังไงบ้าง
“ลุงเขย หนูขอจับชีพจรให้แน่ใจอีกครั้งนะ”
เธอเอ่ยแล้วปรายตามองคนที่โดนมัดอยู่ ถึงอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นหน้าแต่สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นวาบราวกับใบมีดเฉือดเฉือนไปตามร่างกาย หวาดกลัวจนเขาสะดุ้งโหยง
เรื่องบางเรื่องที่แม้จะเสียใจแต่มันสายเกินไปแล้วล่ะ!
เหมือนกับเขาในตอนนี้ไง