บทที่ 870 ย่าขอบคุณแทนพวกเขาด้วยนะ
บทที่ 870 ย่าขอบคุณแทนพวกเขาด้วยนะ
ตอนฉืออี้หย่วนจากไป ฉือเก๋อกับเสี่ยวเถียนไม่สามารถปรับตัวได้เลย แต่ตอนนี้พวกเราเริ่มชินกับมันเสียแล้ว ถึงหลานชายจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่ได้อยู่กับเด็ก ๆ พวกนี้ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมากไม่น้อย
โดยเฉพาะเสี่ยวเถียนที่แวะมาคุยด้วยบ่อย ๆ เพื่อคลายความเบื่อหน่าย
หลังจากเริ่มคิดแบบนี้ การดำเนินชีวิตของฉือเก๋อก็ดีขึ้นมาก
วันนี้เป็นวันหยุดวันแรก เสี่ยวเถียนสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนา และไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่เช้าพร้อมกับเงิน 500 ร้อยหยวน
เสี่ยวปาเสี่ยวจิ่วก็ตามน้องสาวมาด้วย
ลานบ้านที่เคยอ้างว้างตอนนี้คึกคักเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงเด็ก ๆ โหวกเหวกโวยวายลอยเข้าหู
“หยุดกันหมดแล้วสินะ!” เสี่ยวปายิ้ม
เด็กโตทั้งสามเข้าโรงเรียนแล้ว วันปกติเลยไม่ได้คึกคักเท่านี้น่ะ
พวกเราผลักประตูเข้าไป
พอกลุ่มหัวไชเท้าน้อยเห็นกลุ่มเสี่ยวเถียน ก็รีบกรูเข้ามาหาจนเกือบทำเสี่ยวเถียนล้ม
“ใจเย็น ๆ พี่เสี่ยวเถียนจะล้มแล้ว!” หลีอวี๋เหนียงรีบตะโกนบอก
พวกเด็ก ๆ เหมือนจะรู้ตัว จึงรีบถอยออกแล้วพากันขอโทษ
“ขอโทษครับพี่เสี่ยวเถียน พวกเราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!”
เสี่ยวเว่ยพี่คนโตเอ่ยขอโทษคนแรก แล้วพวกเจ้าพวกหัวไชเท้าตัวน้อยก็ขอโทษตาม
“ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าต้องระวังกว่านี้นะ ถ้าล้มขึ้นมาคงไม่ดีแน่”
เสี่ยวเถียนกระซิบบอก พลางลูบเปียนุ่ม ๆ ของเสี่ยวหยวนหวน
“พี่เสี่ยวเถียนหยุดเรียนแล้วเหรอ?” เสี่ยวกวางเงยหน้าถาม
“หยุดแล้วจ้ะ มา ๆ พวกพี่เอาลูกอมมาให้ด้วยนะ แต่ว่าได้คนละสองเม็ดนะ”
เธอหยิบลูกอมนมกระต่ายขาวออกมาแล้วมอบให้เสี่ยวเว่ย เพื่อที่จะได้เอาไปแบ่งน้อง ๆ ด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่เธอมาจะเอาพวกขนมและผลไม้มาด้วย
พวกเด็ก ๆ คุ้นเคยเป็นอย่างดี หลังจากเอ่ยขอบคุณก็แบ่งกันกินอย่างมีความสุข
จากนั้นเธอก็ยิ้มทักทายผู้อาวุโส
เห็นพวกแกร่างกายแข็งแรงดีก็หายห่วง
“คุณย่าหลี หนูได้ยินมาว่าตอนนี้ย่าขายซาลาเปาด้วยเหรอคะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าหญิงชราจางลงเล็กน้อย “อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ คนก็เริ่มกินก๋วยเตี๋ยวเย็นกับเฉาก๊วยน้อยลง ย่าเลยคิดว่าจะหาอย่างอื่นทำขาย แต่ที่ทำเป็นก็มีแค่ซาลาเปาที่ย่าของเสี่ยวเถียนเคยสอนน่ะ”
เด็กสาวยิ้ม “แล้วขายเป็นยังไงบ้างคะ?”
“พอได้นะ ช่วงแรกขายไม่ค่อยดีเท่าไรได้วันละ 10 หยวนเอง แต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วน่ะ”
“ดีแล้วค่ะ แต่ปู่กับย่าก็อายุเยอะแล้ว ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
เสี่ยวเถียนเอ่ยเตือนเพื่อไม่ให้พวกแกเอาแต่ยุ่งวุ่นวายกับการหาเงินจนลืมดูแลร่างกาย ทำธุรกิจขายอาหารฟังดูเหมือนง่าย มันมีแค่คนทำเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเป็นยังไง
เริ่มจากเรื่องซาลาเปาก่อนเป็นอันดับแรก เราจะต้องหมักแป้งข้ามคืน เพื่อตื่นขึ้นมาห่อไส้ตอนตีสามตีสี่ จากนั้นก็สับไส้ นวดแป้ง แล้วค่อยเอาไปนึ่ง
งานที่จะต้องทำในวันนึง ๆ ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วสองคนตายายต้องมานั่งทำงานงก ๆ เหนื่อยสายตัวแทบขาดคงไม่ดี
“เรามีต้าฟางกับเสี่ยวซวี่ที่ปู่ของหลานจ้างมาน่ะ พวกงานหนัก ๆ ก็ได้พวกเขาช่วยแทนหมดเลย ช่วงนี้ก็ได้ผู้หญิงมาช่วยปั้นซาลาเปาด้วยอีกสองคน เลยไม่เหนื่อยมากเท่าไร”
เสี่ยวเถียนคิดว่าถ้าไม่ได้รับเด็ก ๆ มาเลี้ยง พวกแกอาจไม่เหนื่อยขนาดนี้หรอก จากนั้นก็หยิบเงินก้อนใหญ่ออกมาจากกระเป๋าแล้วมอบให้หลีอวี๋เหนียง
หญิงชรารีบร้อนปฏิเสธ
“เสี่ยวเถียน หนูยังเรียนอยู่นะ ปู่กับย่ามีรายได้อยู่แล้ว เรารับเงินหนูไม่ได้หรอก หลานเก็บไว้ใช้เองเถอะ”
ถานจื่อสือ “ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกนะ เรายังไหวอยู่”
เสี่ยวเถียนยิ้มนิด ๆ “รับไว้เถอะค่ะ ไม่ต้องคิดมากเรื่องเงินก้อนนี้เลยนะคะ หนูยังพอมีเงินเก็บอยู่”
“หนูให้ไว้เผื่อน้อง ๆ ค่ะ ใกล้ปีใหม่แล้วอยากให้พวกเขาได้กินของดี ๆ สวมเสื้อผ้าใหม่ ๆ บ้างค่ะ”
ราคาเสื้อผ้าชุดนึงกับม้วนผ้าสักม้วนมันไม่ได้สูงมากหรอก แต่ด้วยจำนวนเด็กที่เยอะ พอรวม ๆ กันแล้วมันก็ราคาสูงน่ะ
หลีอวี๋เหนียงได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้ม
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเถาฮวาเพิ่งบอกว่าจะจัดการให้น่ะ ส่วนพี่สี่ของหลานจะส่งเมล็ดแตงโมมาให้ แล้วก็มีแม่หนูด้วยนะ เธอบอกว่ารอคนอื่น ๆ มาจะเตรียมอาหารส่งท้ายปีเก่าเอง”
หญิงชราตื้นตันใจมาก ด้วยความที่มีจิตใจอ่อนโยนเราจึงทำบ้านเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ำขึ้น ทว่ามันเป็นช่วงเข้าสู่หน้าหนาวพอดี อาหารที่เคยขายได้ก็ขายไม่ดีเท่าเมื่อก่อน การที่เราต้องอาศัยเงินจากตรงนี้มาเลี้ยงเด็ก ๆ เป็นอะไรที่ยากมาก
โชคดีที่ได้คนจากตระกูลซู ตระกูลฉือ และตระกูลตู้ช่วยเหลือเอาไว้ ทั้งส่งเงินและข้าวของมาให้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่พวกเด็ก ๆ จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นกันก็ยกยิ้ม
ไม่คิดเลยว่าพี่สี่จะส่งของขวัญมาฉลองปีใหม่ให้ด้วย หาได้ยากจริง ๆ
“ส่วนเงินก้อนนี้หนูเอากลับไปเถอะ ไว้ถ้าเราลำบากจริง ๆ จะมาหานะ”
แต่สิ่งที่เด็กสาวทำคือยัดเงินใส่กระเป๋าหญิงชราแทน “ถ้าคุณย่าจะทำซาลาเปาขาย ทำไมถึงไม่เปิดเป็นร้านขายอาหารไปเลยล่ะคะ เราเอาเงินก้อนนี้มาเริ่มธุรกิจได้นะ”
การตั้งแผงขายปัญหาคือ หนึ่งเหนื่อยมาก สองเสียเวลา
หลีอวี๋เหนียงได้ฟังก็โดนล่อลวง
ถ้าเป็นร้านเป็นของตัวเองไปเลย รายได้จะมั่นคงขึ้นด้วย
“แบบนี้ก็แล้วกันนะ ย่าจะรับเงินไว้ก่อน ได้กำไรเมื่อไรเรามาแบ่งกันร้อยละ 50 หลานคิดเห็นยังไง?” จากนั้นก็เอ่ยเรื่องแบ่งกำไรกันตรง ๆ
ตอนเปิดร้านขายเนื้อตุ๋น เสี่ยวเถียนจะจัดเตรียมสูตรอาหารไว้ให้แล้วเราจะมีการแบ่งกำไรกัน หลีอวี๋เหนียงจึงคิดว่ามันจะต้องแบ่งด้วยถ้าเธอเปิดร้าน
เสี่ยวเถียนไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย
เพราะเดิมทีตนเอาเงินมาให้เด็ก ๆ แล้วถ้าแบ่งเงินมาอีกจะเหลืออะไรล่ะ?
“ไม่ว่าธุรกิจในอนาคตจะเป็นยังไง หนูได้ลงทุนส่วนหนึ่งไปกับบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วค่ะ เพื่อช่วยเหลือชีวิตของเด็ก ๆ นะ”
เธอคิดว่าถ้าเด็ก ๆ โตขึ้นอีก มันจะยิ่งลำบากแก่ผู้อาวูโสมากขึ้นเท่านั้น
อีกไม่กี่ปีก็จะเข้าเรียนกันแล้ว แค่ค่าเล่าเรียนก็ถือว่าเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ยิ่งถ้าเข้าเรียนมัธยมแล้วด้วย ค่าใช้จ่ายจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก คุณปู่คุณย่าถานก็อายุเยอะขึ้นทุกวัน ใกล้จะถึงช่วงที่ทำงานไม่ไหวแล้วด้วย ยังไงก็ต้องเก็บเงินเอาไว้บ้าง
ถานจื่อสือคิดจะพูดต่อ แต่ภรรยาเอ่ยขึ้นก่อน
“เรื่องเกรงใจอะไรนั่นย่าไม่พูดเยอะแล้วกัน แต่ย่าขอบคุณแทนพวกเขาด้วยนะ!”