บทที่ 894 ปู่รองของหลานต้องฉิจฉาย่าแน่นอน
บทที่ 894 ปู่รองของหลานต้องฉิจฉาย่าแน่นอน
ข้อกำหนดอันเข้มงวดจะทำให้การเรียนรู้รวดเร็วขึ้น เสี่ยวเถียนเป็นคนเด็ดเดี่ยว ยิ่งเป็นเรื่องเรียนด้วยแล้วเธอจะไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาเด็ดขาด จากนั้นเจ้าตัวก็หยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาแล้วเริ่มสอนในทันที
เธอซื้อมาจากร้านหนังสือซินฮวาโดยตั้งใจไว้ว่าจะเอามาสอนเสี่ยวซื่อ แต่รูมเมทก็ได้ชิงโอกาสนั้นไปก่อนเสียแล้ว สามสาวมองหน้ากันก่อนจะเริ่มเรียนทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้เรียนเก่ง
เสี่ยวเถียนจะไม่อยู่บ้านอีกหลายวัน เธอจึงสอนพยัญชนะทั้ง 26 ตัวให้เป็นอันดับแรก จากนั้นก็สอนบทสนทนาในชีวิตประจำวันง่าย ๆ ให้พวกเธอ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปชุนเฉิงน่ะ คงไม่กลับมาอีกสามสี่วันเลย พวกเธอฝึกบทสนทนากับตัวอักษรพวกนี้ไปแล้วกันนะ”
เสี่ยวเถียนหยิบปากกากระดาษออกมาจดเนื้อหาการสอนในวันนี้ให้เพื่อนทีละคน แล้วส่งให้หลี่เจี้ยนหง
เสี่ยวเถียนเขียนอย่างคล่องแคล้วและสวยงามมาก น่ามองจริง ๆ
เพื่อน ๆ ต่างมองเธอด้วยสายตาอิจฉา
“เสี่ยวเถียนเก่งจังเลย ตัวอักษรที่เขียนก็สวยมากเลยด้วย”
“เขียนบ่อย ๆ ก็ทำได้เหมือนกันนะ” เด็กสาวยิ้ม “ฉันด็ต้องฝึกเหมือนกัน”
ที่จริงมันไม่ใช่แค่ผลของการฝึกหรอกนะ แต่เธอมีสูตรโกงเป็นระบบ ไม่ว่าจะเรียนรู้อะไรก็ล้วนแล้วทำได้ไวกว่าคนอื่น ๆ เสมอ
สามสาวพยักหน้าซ้ำ ๆ ราวกับว่าเสี่ยวเถียนจะพูดอะไรก็เป็นเช่นนั้น
“ช่วงนี้ท่องจำพวกนี้ไปแล้วกันนั้น หลังจากนี้ค่อยมาเรียนรู้วิธีการเขียนกัน เขียนไม่คล่องไม่เป็นไร ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปเดี๋ยวก็ได้”
“ได้เลย พวกเราจะท่องจำให้หมดก่อนเธอกลับนะ” หลี่เจี้ยนหง
เพราะเธอนั้นไม่เก่งเท่าเพื่อน สิ่งที่ทำคือขยันเพื่อไล่ตามเพื่อนให้ทัน
“ถ้าฉันกลับมาแล้วพวกเธอจำเนื้อหาทั้งหมดได้ ฉันจะเริ่มสอนอย่างเป็นทางการทันที”
เสี่ยวเถียนรู้หลายภาษา แต่เลือกที่จะสอนภาษาอังกฤษให้พวกเขาแทน เพราะอีกหลายสิบปีหน้าข้างหน้า ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่มีประโยชน์มากกว่าภาษาอื่น ๆ
ในตอนที่สามสาวทำงานก็เอาแต่ท่องจำเนื้อหาที่เสี่ยวเถียนสอนไม่หยุด ตอนพวกคุณย่าซูได้ยินเกือบจะคิดว่าเด็ก ๆ โดนวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง
เช้าวันต่อมา หญิงชราทำอาหารให้หลานสาวไว้บนกินบนรถไฟ
แต่เสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น พวกเราเดินทางแค่สิบกว่าชั่วโมงเอง ตอนเย็นกินให้อิ่ม ๆ รุ่งเช้าก็ถึงแล้ว แต่คุณย่าไม่เห็นด้วย
“ถึงรถไฟจะสะดวกสบายจริง แต่ถ้ามันมาช้าหรืออะไรขึ้นมาล่ะ ยังไงก็ต้องเอาติดตัวไปสักหน่อยอยู่ดี”
คงเพราะอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญในบรรดาหลายปีที่ผ่านมา คุณย่าจึงให้ความสำคัญกับมันมาก
เสี่ยวเถียนขบคิด ก็จริงอย่างที่ว่า รถไฟยุคนี้มันไม่ได้ช้าแค่สิบยี่สิบนาทีนะ แต่นานเป็นชั่วโมงเผลอ ๆ เป็นวันด้วยซ้ำ
ยังไงก็ต้องเตรียมของกินไปด้วยนั้นแหละ
รอบนี้มีคนเดือนทางไปพร้อมเราเยอะขึ้น เอาไปเพิ่มอีกหน่อยไม่เสียหลายอะไร
“ได้ค่ะ งั้นเตรียมไปสักหน่อยแล้วกัน”
พอถึงช่วงบ่าย เด็กสาวเพิ่งเห็นว่าย่าไม่ได้เตรียมอาหารไปนิดหน่อยเลย แต่แกทำเป็นกล่องขนาดใหญ่ทั้งหมดแปดกล่อง
เธอตกใจมาก
“ทำไมเยอะขนาดนี้ล่ะคะ?”
“ไม่เยอะหรอก พอถึงเวลาเราจะนั่งกินเฉย ๆ ให้คนอื่นเขาดูก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” แกเอ่ยอย่างมีเหตุผล
งั้นก็ดีเลยสิ!
ไม่ใช่แค่เธอที่นึกถึงคนอื่น ๆ เท่านั้นแต่ย่าก็คิดด้วยเหมือนกัน
หญิงชราวานซื่อเลี่ยงถือกระเป๋าอาหารใบหนัก แล้วเตรียมตัวพาเสี่ยวเถียนไปส่ง
“ย่า หนูถือเองได้ค่ะ” เสี่ยวเถียนรีบบอก
“ไม่ต้องหรอก มีพี่ชายตั้งเยอะแยะ ถือทำไมให้เมื่อยเอง”
ซื่อเลี่ยง “…”
เสี่ยวเถียน “…”
ย่าพูดอะไรเนี่ย?
ฟังดูแปลกชอบกลนะ?
แต่เอาเถอะ
ขอแค่ย่ามีความสุขก็พอ
“เสี่ยวเถียน เสื้อผ้า ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัวอะไรครบแล้วนะ? มีเงินติดตัวหรือเปล่า? เดี๋ยวย่าให้อีก 50 ออกไปข้างนอกต้องซื้อของ เผื่อจะได้ดอกไม้ดี ๆ กลับมา”
“หนูมีเงินอยู่ค่ะ”
เธอต้องไปซื้อของอยู่แล้ว จะไม่เอาเงินไปได้ยังไงล่ะ?
“มาเถอะ เอาเงินไป อย่าลืมซื้อของตอบแทนเขาด้วย จะเอาเปรียบคนอื่นไม่ได้นะ”
คุณย่ายังพูดพร่ำไม่หยุดราวกับกลัวหลานสาวจะใช้ชีวิตไม่เป็น
“หนูรู้แล้วค่ะย่า”
ย่ารองดีกับเสี่ยวเถียนเสมอ
ตลอดสองปีมานี้เธอสนิทกับบ้านปู่รองย่ารองมาโดยตลอด
ความสัมพันธ์ไม่สามารถแน่นแฟ้นได้เพียงครอบครัวเดียวเท่านั้น และเมื่อรวมสองครอบครัวเข้าด้วยกันมันจึงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงแตรรถจากด้านนอก
“รถมาแล้วครับ ให้เสี่ยวเถียนไปเถอะ รถไฟไม่คอยใครนะ” ซื่อเลี่ยงเร่งผู้เป็นย่า
สมาชิกในบ้านเดินออกมาส่งเสี่ยวเถียน คุณย่าฝากฝั่งความไว้วางใจให้ฟ่านชูฟางดูแลหลานอย่างดิบดี ก่อนจะโบกมือลาด้วยความไม่เต็มใจ
กระทั่งรถคันนั้นลับสายตาไป แกยังคงเอ่ยต่อ “พอเด็ก ๆ โตขึ้นเวลาอยู่บ้านก็น้อยลงเรื่อย ๆ เลย”
ซื่อเลี่ยงพาแกกลับเข้าบ้านเพื่อที่จะได้ไม่เศร้าไปมากกว่านี้
……
“เสี่ยวเถียนเอาของมาเยอะเลยนะ!” ฟ่านชูฟางยิ้ม
เธอเอากระเป๋ามาใบเดียวเอง แต่หลานสาวมีทั้งใบเล็กใบใหญ่เลย เตรียมย้ายไปไหนหรือเปล่าเนี่ย?
เด็กสาวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ย่าหนูบอกว่าย่ารองชอบอาหารฝีมือแกมาก ก็เลยทำมาให้แบ่งกันกินค่ะ พอไปถึงรถไฟจะได้กินด้วยกัน”
คนได้ฟังมีความสุขทันที
“ย่าของหลานรอบคอบจริง ๆ โชคดีนะที่ย่าไม่ได้กินข้าวมาตอนบ่าย”
แค่คิดว่าจะได้กินอาหารฝีมือพี่สะใภ้ตอนเดินทางไปทำธุรกิจก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
“ถ้าปู่รองรู้เข้า ต้องอิจฉาย่าแน่นอน!”
เธอมองหญิงชราที่ทำท่าทางเป็นเด็ก ๆ ไม่รู้จะตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง เอาเถอะ ขอแค่มีความสุขก็ดีแล้ว
ถ้าวันนี้ปู่รองว่างก็คงไปกินหมูตุ๋นที่บ้านเองละ
กระทั่งเราขึ้นรถไฟ ในห้องโดยสารเตียงฝั่งหนึ่งเป็นของกลุ่มเรา อีกฝ่างเป็นของหยางลี่หมิง
แล้วก็ยังมีเด็กสาวอายุราว ๆ 17 ถึง18 ที่ไม่รู้จักอยู่ด้วย
“เสี่ยวเถียน คนนี้คือเสี่ยวหลิ่วน่ะ เป็นเลขาของย่าเอง เรียกว่าพี่เสี่ยวหลิ่วก็พอจ้ะ!” แกเอ่ยแนะนำให้คนทั้งสองรู้จัก
เสี่ยวหลิ่วเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แน่นอนว่าความหยิ่งยโสก็มีไม่น้อย พอได้รับการแนะนำแบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ จึงยกยิ้มบาง ๆ ตอนเห็นเสี่ยวเถียน