บทที่ 920 ข้อดีและข้อเสีย
บทที่ 920 ข้อดีและข้อเสีย
ไป๋หยวนเลี่ยงเริ่มวางแผนการในใจอย่างรวดเร็ว ส่วนวิธีการก็ทำตามที่เสี่ยวเถียนเสนอ ถ้าสามารถเพิ่มผลประโยชน์สูงสุดให้แก่โรงงาน และทำให้คนงานพึงพอใจได้ เขาก็ยินดีลงแรงมากกว่านี้
เสี่ยวเถียนพยักหน้ายิ้ม “ค่อย ๆ ทำไปนะคะ ฉันเชื่อว่าโรงงานของเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ผู้จัดการไป๋เชื่อคำพูดฉันได้เลยค่ะ ถ้าคุณทำงานที่โรงงานเราครบสามปี และโรงงานมีการพัฒนาตามที่ว่า ฉันจะให้คุณถือหุ้น 3% ตามที่คุยกันไว้อย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของเธอดังพอให้คนรอบตัวได้ยิน
เธอเคยพูดไว้แล้วตอนเซ็นสัญญากับไป๋หยวนเลี่ยง
จุดประสงค์ก็เพื่อดึงผู้มีความสามารถเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
เสี่ยวเถียนเคยเสนอให้สองสามคนแรกไปเหมือนกัน แต่ว่าทุกคนไม่ได้รับไปได้ง่าย ๆ
พวกเขาต้องทำงานกับเราสามถึงห้าปีก่อน จึงจะบรรลุรางวัลดังกล่าว
แค่นี้ก็แสดงให้เห็นศักยภาพของคนคนนั้นได้แล้ว
และมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเห็นธาตุแท้ของพวกเขาด้วย
เธอจะให้หุ้นสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ยิ่งเป็นตัวหุ้นที่จะเสนอขายเขาด้วยแล้ว เราควรมอบให้คนที่เชื่อถือได้เท่านั้น
พวกไป๋หยวนเลี่ยงตื่นเต้นกันมาก พวกเขารู้มาตลอดว่าเจ้านายกำลังเชิญชวนเรา
ใครที่ไหนจะเอาหุ้นตัวเองมาแบ่งให้มนุษย์เงินเดือนกันล่ะ แต่เจ้านายกลับเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งก็พิสูจน์แล้วว่าเธอใส่ใจเรื่องนี้จริง ๆ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ พวกเราจะทำงานให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของคุณเอง”
ไป๋หยวนเลี่ยงเอ่ยสัญญาอย่างหนักแน่น ขณะที่คนอื่น ๆ ยืนปรบมืออย่างแข็งขัน
ใครที่ไหนจะไม่ชอบการได้รับเงินเยอะ ๆ ล่ะ?
ต่อให้ต้องทำงานหนักจนไม่ได้นอน แต่ได้เงินกลับมาเยอะก็เอาทั้งนั้น
เสี่ยวเถียนจากไปด้วยความพึงพอใจ
ไม่นาน สินค้าทดลองชุดแรกก็ออกสู่ตลาด เป็นช่วงที่เทศกาลปีใหม่เพิ่งจะจบไป
ทุกคนต่างเร่งมือกันมาก
สิ่งที่ทำให้ทุกคนมีความสุขยิ่งกว่าคือ หนุ่มสาวในแผนกวิจัยไม่ผิดหวังกับเงินที่ใช้จ่ายไปสักนิด
จากการทดสอบสินค้ารอบนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่ารสชาติใหม่ถูกใจประชาชนอย่างมาก
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เสี่ยวเถียนจึงตัดสินใจขยายขอบเขตของการทดลองชิมออกไปอีก
หากผลตอบรับดีก็จะขายออกสู่ตลาดได้อย่างเป็นทางการ
ยิ่งตีตลาดสำเร็จมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้โรงงานมีพื้นที่มากเท่านั้น
และการได้ครอบครองก็ยิ่งทำให้การแบ่งส่วนตลาดเยอะขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ได้รับข่าวคราวมาว่ามีบางคนคิดจะชิงตัวคนของเธอด้วย
เสี่ยวเถียนกลัวจะเป็นเจ้าสองสูตรใหม่นี่แหละที่จะหลุด
แม้ในโรงงานจะมีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แต่คนสำคัญล้วนรู้กันหมด
ถ้ามีคนโดนชักจูงจริง ๆ สองสูตรนี้อาจจะหลุดออกไปก็ได้
พนักงานในแผนกวิจัยจะกลายเป็นประเด็นร้อนในโรงงานอื่นเพราะสูตรอาหารแน่นอน
พวกเขาอาจจะทนต่อบททดสอบไม่ได้
ถ้ามีคนคิดทรยศ ความลับของเราจะถูกแพร่งพรายทันที
นี่คือเหตุผลที่ช่วงนี้เสี่ยวเถียนยินดีมาระดมความคิด และใช้เวลาที่โรงงานมากขึ้น
โชคดีที่จากสถานการณ์ในปัจจุบันทุกคนยังปกติสุข ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
พอจะทำให้เชื่อได้ช่วงหนึ่ง
เสี่ยวเถียนมั่นใจว่าถ้าตนเสนอเงื่อนไขที่เอื้อเฟื้อมากพอ ฝ่ายนั้นจะแย่งตัวไปก็คงยาก
แล้วถ้ามีคนอยากไปจริง ๆ เธอก็ไม่คัดค้านอะไร
เงื่อนไขรางวัลและการลงโทษล้วนตัดสินขั้นพื้นฐานไว้แล้ว และจะดำเนินการทันทีหลังจากการหารือครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น
ขอแค่พวกเขาไม่ทิ้งกัน หลังจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ สำหรับคนที่ค่อนข้างขยัน การได้รับเงินเพิ่มสองเท่าจะไม่ใช่ความฝันแน่นอน
เช่นแผนกวิจัยมีมาตรฐานรางวัลเป็นของตัวเอง
ฝ่ายผลิตปรับเงินโบนัสตามจำนวนผลิตที่ทำได้ และเงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขาย ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง ขอแค่ได้เงินนิดหน่อยก็ทำได้ทั้งนั้น
เสี่ยวเถียนไม่ลำบากกับเงินพวกนั้นเลย
เธอเชื่อว่าสิ่งที่ให้ไป และผลผลิตที่ออกมาจะต้องได้มาตรฐานอย่างแน่นอน
ขอแค่ปริมาณการผลิตของเรา และยอดการขายเพิ่มขึ้น เงินเล็กน้อยพวกนั้นไม่ได้สำคัญสักนิด
แถมการทำแบบนี้ก็ทำให้ชีวิตของคนงานสุขสบายมากขึ้นด้วย
ยิ่งถ้าสามารถดึงคนให้มาทำงานเพิ่มขึ้นอีก ก็จะสามารถร่วมมือกันพัฒนาโรงงานได้
หลังจากใช้นโยบายนี้ คนงานก็เหมือนมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น เหมือนวันหนึ่งมีสี่สิบแปดชั่วโมงเลยทีเดียว
แม้แต่ตอนกินข้าวกับคนอื่นก็ยังไม่ลืมโปรโมตสินค้าตัวเองด้วย
เสี่ยวเถียนคุยกับไป๋หยวนเลี่ยงแล้ว เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นของทุกคนให้มากขึ้น หากยอดขายใครได้เกินสิบหยวน ไปรับเงินที่การเงินได้เลย!
พอได้รับเงินจริง ๆ พวกเขาก็ยิ่งมีแรงบันดาลใจ
ช่วงนี้โรงงานเธอบรรยากาศคึกคักมาก
เมื่อก่อนเห็นพวกพนักงานรัฐวิสาหกิจก็รู้สึกด้อยกว่าเขา เป็นแค่คนงานจะไปเทียบเคียงได้ยังไง?
แต่ตอนนี้ความคิดเหล่านั้นอันตรธานไปหมดแล้ว
จากโบนัสกับเงินเดือนที่ได้รวมกันแล้วมากกว่าของพนักงานในโรงงานอื่นเป็นสองเท่าเสียอีก ถึงคราวเป็นที่อิจฉาของผู้อื่นแล้ว
กลายเป็นว่าเหล่าคนที่คิดว่าตัวเองมีงานมั่นคงดันอิจฉาคนที่ตัวเองเคยดูถูก เพราะพวกเขาได้เงินเดือนสูงกว่าเสียอย่างนั้น
นี่คือสิ่งที่เสี่ยวเถียนต้องการ
ถ้าทุกคนเอาแต่ทำงานชักช้า โรงงานเธอก็คงไม่ต่างกับโรงงานรัฐ หรือโรงงานส่วนใหญ่ที่ค่อย ๆ เสื่อมถอยนักหรอก
บทเรียนที่แสนเจ็บปวดนับไม่ถ้วนสอนเราไว้แล้วว่า การกินข้าวหม้อใหญ่*[1]ไปไม่รอด
ไม่เห็นเหรอว่าชีวิตผู้คนดีขึ้นตั้งแต่ใช้นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน*[2]น่ะ?
คนในโรงงานของเสี่ยวเถียนคือคนที่ไม่เคยหางานทำมาก่อน
บางส่วนเป็นยุวชนที่ได้กลับมาเมืองหลวง บางส่วนก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาที่ตามมาด้วย
พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำงานกับบริษัทเอกชน
และไม่เคยคิดด้วยว่าหลังจากนี้จะมีรายได้เท่าไร คิดแค่คงได้เงินเล็กน้อย
ถึงจะหาเงินได้ แต่ก็ยังโดนคนดูถูก
สถานการณ์ไม่มีทางเปลี่ยนไปจนกว่าจะทำเงินได้มากกว่าคนอื่น พวกเขาจึงหวงแหนงานที่ตัวเองทำเป็นอย่างมาก
และตอนนี้พอรายได้เพิ่มขึ้น สถานการณ์ที่บ้านก็ดีขึ้นด้วย
แล้วตอนนี้คนในบ้านที่เอาแต่ตะคอกใส่กลับมีท่าทีที่ต่างไปจากเดิมเยอะมาก
ด้วยอิทธิพลที่ซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนงานไม่เชื่อว่าแค่ทำงานในโรงงานรัฐก็มีชีวิตที่สุขสบายขึ้นได้
พวกเขาเชื่อว่าหากติดตามเด็กสาวที่ชื่อซูเสี่ยวเถียน อนาคตต้องดีขึ้นแน่นอน
ที่จริงเสี่ยวเถียนเป็นเจ้านายที่ดี และคำนึงถึงพนักงานตัวเองเสมอ
แม้การได้เงินเยอะ ๆ จะเป็นข้อได้เปรียบ แต่โรงงานเอกชนก็ยังมีข้อเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
[1] กินข้าวหม้อใหญ่ เป็นสำนวนที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการดํารงชีวิตของคนจีนในสมัยช่วงปฏิวัติ โดยมีแนวความคิดที่ว่าทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของรัฐ ประชาชนไม่สามารถถือครองทรัพย์สินของตัวเองได้ และดำรงชีวิตด้วยการดูแลจัดสรรทุกอย่างจากทางรัฐ เสมือนว่าทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน
[2] นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน คือ การผลิตแบบเหมาครัวเรือน ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาความอดยากทั่วประเทศ ฟื้นฟูทางการเกษตร และพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกร เป็นโมเดลในการปฏิวัติทางเศรษฐกิจของจีนในยุคนั้น
——————————————————-