บทที่ 930 โน้มน้าวใจ
บทที่ 930 โน้มน้าวใจ
“เพราะงั้นเธอก็เลยไม่กล้าใช้เงินที่หามาได้เพราะต้องเก็บไว้ให้พี่กับน้องน่ะหรือ?”
เสี่ยวเถียนเข้าใจแล้ว
เธอคิดว่าบ้านนี้ยอมให้ลูกเรียนเพราะรัก
ที่แท้ก็เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ
ทั้งยังคอยสั่งสอนจนลูกสาวเก่งพอ แล้วก็ให้ลูกชายเกาะเป็นปลิงนี่เอง!
เสี่ยวเป่ยลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า
“แม่บอกว่าไว้มีงานทำเมื่อไร เงินเดือนเอาแบ่งให้พี่ครึ่ง น้องครึ่ง!”
เพื่อน ๆ ได้แต่ตื่นตกใจ
ให้ลูกชายคนละครึ่ง?
แล้วตัวลูกสาวล่ะ?
ไม่ต้องเก็บเงินไว้แต่งงานเลยหรือไง?
ดูที่พ่อแม่เธอทำสิ ไม่กล้าจินตนาการเลยสักนิด!
“แล้วตัวเองล่ะ?” จ้าวหงเหมยถาม
เธอคิดว่าบ้านตัวเองก็มีความลำเอียงระหว่างลูกสาวกับลูกชายอยู่บ้าง
แต่พอเทียบกับครอบครัวเพื่อนแล้วเป็นคนละเรื่องกันเลย
พวกเขาไม่เคยขอให้เธอต้องช่วยเหลือพี่น้องคนอื่น ๆ แต่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย มีการมีงาน จะได้สุขสบายในภายภาคหน้า
เฉียนเสี่ยวเป่ยได้แต่สับสน ที่บ้านไม่ได้บอกเลย
แต่น่าจะอนุญาตให้ตนเก็บไว้กินเก็บไว้ใช้เล็กน้อยใช่ไหม?
ไม่มีเงินแล้วจะอยู่ยังไง?
แม้จะไม่ได้รับคำตอบ แต่เสี่ยวเถียนก็พอเข้าใจแล้ว
“แล้วเงินที่หาได้ช่วงนี้ก็ส่งกลับบ้านหมดเลยหรือ?”
ถ้าเจ้าตัวส่งให้พวกเขาไปหมด ชีวิตที่แสนลำบากก็ยืนรออยู่ข้างหน้าแล้ว
เฉียนเสี่ยวเป่ยส่ายหัว
เสี่ยวเถียนโล่งอก
เพื่อน ๆ ก็โล่งอกเช่นกัน
“ฉันส่งไปแค่ยี่สิบหยวนน่ะ บอกแค่ว่าหาได้ตอนทำงานวันหยุด ที่บ้านก็เลยตอบจดหมายมาว่าวันหยุดหน้าร้อนไม่ต้องกลับ อยู่หาเงินที่นี่แหละ”
แม้ใบหน้าเธอจะมีรอยยิ้ม แต่ไม่สามารถซ่อนความเศร้าไว้ได้
“งั้นก็ดีแล้ว”
ยังดีที่ไม่ได้โง่ส่งให้เขาจนหมด ไม่งั้นต่อไปก็ต้องส่งจำนวนเท่านี้ไปให้ตลอด
“แม่ยังบอกอีกว่ากำลังเตรียมงานแต่งให้พี่ใหญ่ แต่ยังไม่ได้เก็บเงินสินสอด เลยให้ฉันหาเงินเพิ่ม ทำงานหลังเลิกเรียนคงจะดีที่สุด”
เหอะ ความคิดสุดยอดจริง ๆ
ในเมื่อพูดแล้ว เธอก็ไม่ลังเลที่จะบอกจนหมดเปลือก
เมื่อก่อนไม่เคยคิดหรอกนะว่ามันแปลก แต่พอใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยนานเข้ากลับรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“แล้วทำไมเธอถึงไม่ได้ส่งเงินกลับไปหมดล่ะ?” จ้าวหงเหมยสงสัย
ด้วยนิสัยเพื่อนคนนี้ ไม่น่าจะเก็บเงินเอาไว้หรือเปล่า?
แถมที่บ้านยังเอ่ยปากเอง เจ้าตัวก็ต้องส่งกลับไปให้ได้ด้วย
ไม่อย่างนั้นคงต้องบอกว่าการปลูกฝังบ้านเฉียนใช้การไม่ได้แล้ว
“ตอนนั้นเจี้ยนหงบอกว่าเราอาจจะไม่ได้ขายแค่เครื่องประดับ ฉันก็เลยคิดว่าคงจะมีการลงทุนอีกน่ะ”
เสี่ยวเถียนไม่คิดเลยว่านี่คือเหตุผล
ถ้าหลี่เจี้ยนหงไม่ได้พูดแบบนั้น เฉียนเสี่ยวเป่ยคงส่งเงินไปหมดแน่
“ฉันไม่เคยคิดจะไม่ส่งเงินไปให้ที่บ้านเลยนะ แค่คิดว่าจะหาเพิ่มอีกหน่อยแล้วส่งไปพร้อมกันน่ะ!” เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลังจากที่พูดแล้วเหมือนจะรู้สึกตัวเองทำเรื่องไม่ดีสินะ?
อันที่จริงเสี่ยวเป่ยทำอะไรผิดล่ะ?
มันเกิดจากพ่อแม่ทำตัวไม่สมเหตุผล และรักลูกชายมากกว่าลูกสาวต่างหาก
“ต่อให้เธอไม่ส่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่หรอกนะ” ฉีเสี่ยวฟางบอก
เฉียนเสี่ยวเป่ยที่กำลังสับสนมองเพื่อนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
ฐานะบ้านเพื่อนดีกันทุกคน ทั้งยังอาศัยอยู่ในเมืองด้วย
มีแค่เธอ เจี้ยนหงและเสี่ยวฟางที่มาจากชนบท
ในฐานะที่เป็นคนบ้านนอกเหมือนกัน ทำไมเสี่ยวฟางถึงพูดแบบนั้นล่ะ?
ถึงเธอจะฉลาดและสอบเข้าจิ่งเฉิงได้ แต่ลึก ๆ แล้วเป็นเพราะการเลี้ยงดูคนที่บ้านจึงทำให้ด้อยกว่าผู้อื่น
ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องผิดหรือถูกกันแน่ที่ไม่เอาเงินส่งให้ที่บ้าน
พ่อแม่เขียนจำนวนเงินสินสอดมาแล้วว่าไม่พอ แต่เธอยังไม่ได้ส่งมันไป
คงไม่ได้เห็นแก่ตัวใช่ไหม?
เธอมองเพื่อนด้วยสายตารอคอย
กลุ่มเราที่จะเดินไปโรงงานอาหารเอาแต่ยืนนิ่งมองเฉียนเสี่ยวเป่ย
“เสี่ยวเป่ย เธอยังเป็นนักเรียนอยู่ ไม่ควรแบกรับภาระของที่บ้าน มันเป็นหน้าที่พี่ชายของเธอเองนะ พูดกว้าง ๆ ก็คือเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ ไม่ใช่ของเธอ” ฉู่เยว่กล่าว
ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน คาดว่าเจ้าตัวคงไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้
“ถูกต้อง การกตัญญูเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับคำพูดไม่สมเหตุสมผลของที่บ้านนะ” เสี่ยวเถียนกล่าวเสริม
“พ่อแม่สนับสนุนที่ฉันเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่พอมีงานทำก็ไม่มาสนใจแล้วล่ะ ส่วนสินสอดก็แบ่งให้แค่นิดหน่อย ที่เหลือเป็นของพี่ชายกับน้องชาย” จ้าวหงเหมยว่า “เขาบอกว่าฉันมีงานทำแล้ว ยังไงก็อยู่สุขสบายได้”
เฉียนเสี่ยวเป่ยมองซ้ายมองขวา มันควรเป็นแบบนี้ใช่ไหม?
“แต่ว่า…” มันเห็นแก่ตัวหรือเปล่าที่คิดถึงแต่ตัวเอง?
“เสี่ยวเป่ย อย่าเอาแต่คิดว่าเธอทำอะไรให้ครอบครัวได้บ้าง ให้ลองคิดถึงสิ่งที่พี่ชายน้องชายเธอทำให้ที่บ้านดูนะ” ฉู่เยว่โน้มน้าวใจ
การจะให้เจ้าตัวยอมรับเรื่องราวในวันนี้เลยคงเป็นไปไม่ได้
แต่พวกเราให้คำแนะนำแก่เธอได้ เพื่อที่จะได้ให้เข้าใจว่าเสี่ยวเป่ยไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรที่บ้านหรอกนะ
แค่กตัญญูต่อพ่อแม่ให้มากก็พอ
ไม่ใช่เอาชีวิตพวกเขามาแบกไว้เป็นของตัวเอง
พ่อแม่ของฉู่เยว่ยังไม่เห็นขอให้ทำอะไรแบบนี้เลย
แม้การมีครอบครัวที่ฐานะดีจะมีส่วน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
อันที่จริง พ่อแม่เธอก็เน้นย้ำมาตลอดนะว่าแต่ละคนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง
ตามหลักแล้ว สิ่งที่เสี่ยวเป่ยควรทำคือตั้งใจเรียน
การเอาภาระของพี่ชายมาทำแทนมันไม่ถูกต้อง
เสี่ยวเถียนถอนหายใจ
อย่าว่าแต่คนในยุคนี้เลย ขนาดยุคปัจจุบันก็ยังมีคนที่คิดอยู่เหมือนกัน
ว่าหน้าที่ของลูกสาวคือการทำให้ลูกชายสุขสบาย