บทที่ 944 มหาวิทยาลัยเกษตร
บทที่ 944 มหาวิทยาลัยเกษตร
“ตอนนั้นผมไม่ได้ช่วยเหลืออะไรคุณมากมายเลยครับ ที่จริงต้องเป็นเสี่ยวเถียนต่างหากที่ช่วยคุณมาเสมอ”
“แต่ถ้าไม่ได้คุณช่วยเหลือเอาไว้ เสี่ยวเถียนก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ” ฉือเก๋อยิ้ม “หัวหน้า ความใจดีของพวกคุณจะได้รับการตอบแทนแน่นอนครับ”
พวกเขาเรียกได้ว่าคนบ้านเดียวกัน ถึงพวกฉือเก๋อจะไม่ใช่คนที่หงซิน แต่ด้วยมิตรภาพที่สร้างไว้เมื่อตอนนั้นพอได้กลับมาเจอกันอีกจึงตื่นเต้นมาก
พอรู้ว่าตอนบ่ายเหล่าซานจะพาพวกฉางจิ่วไปเดินเที่ยว เหล่าผู้อาวุโสจึงออกตัวว่าจะไปด้วย
ทีแรกเหล่าซานตั้งใจจะพาไปพระราชวังต้องห้ามเป็นสถานที่แรก
แต่ผู้อาวุโสว่ามันใหญ่เกินไป มีเวลาแค่ช่วงบ่ายเดินไม่ทั่วหรอก ถ้าจะไปต้องเผื่อเวลาไว้สักวันหนึ่งถึงจะพอ
“เป็นวังที่ฮ่องเต้อยู่น่ะ ขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้านเราเยอะเลย” ฉือเก๋อยิ้ม “มีอะไรให้ศึกษาเยอะมากมายด้วยนะ”
“ได้สิ งั้นพรุ่งนี้เราไปกัน ส่วนบ่ายนี้เราไปเดินเที่ยวที่มหาวิทยาลัยกันเถอะ” ตู้ถงเหอยิ้ม “พอดีเลย ช่วงนี้จื่อเจินยังอยู่เมืองหลวงนะ พวกเราไปหาเขากัน”
ส่วนตัวซูฉางจิ่ว เขาไม่คิดว่าสถานศึกษาจะมีอะไรน่าชมหรอก แต่ในเมื่อเสิ่นจื่อเจินอยู่ที่นั่นจึงอยากพบผู้มีบุญคุณต่อเกษตรกรชาวเรา จึงตอบตกลง
จากนั้นพวกเขาก็กลับไปกินข้าวกลางวันที่หออีหมิง
ซูฉางจิ่วมองลูกค้าเข้าออกร้านอาหาร บรรยากาศคึกคักมาก จึงรู้เลยว่าธุรกิจดี
ไม่แปลกใจที่พวกเขาเปลี่ยนไปเยอะ ลูกค้าขนาดนี้ ราคาอาหารก็สูง ชีวิตจะไปลำบากได้อย่างไร?
คนในเมืองมีเงินจริง ๆ นะ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านคงไม่กล้าใช้เงินขนาดนี้จ่ายข้าวมื้อเดียวหรอก
ที่จริงเขาไม่รู้เลยว่าร้านอาหารตระกูลไม่ใช่ตัวการในการทำเงินของเราหรอกนะ
คนที่สร้างรายได้จริง ๆ คือห้างร้านหรงฟาของเสี่ยวซื่อ และโรงงานของเสี่ยวเถียนต่างหาก
ระหว่างกินข้าว เสี่ยวเฉ่าก็มาร่วมวงด้วยกัน ก่อนจะบอกว่าเช้าวันนี้เธอไปรายงานตัวที่โรงเรียนแล้ว ช่วงบ่ายก็พักผ่อนได้แล้วพรุ่งนี้ถึงจะไปอย่างเป็นทางการ
ในเมื่อลูกสาวว่างตอนบ่าย เขาจึงว่าจะพาเธอไปเที่ยวด้วยกัน
หญิงสาวเคยเรียนแต่วิทยาลัยครู และอิจฉาเด็ก ๆ บ้านซูที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด
พอรู้ว่าพวกเขากำลังจะไปมหาวิทยาลัย ก็ดีใจมากจึงรีบตอบตกลงทันที
คนบ้านซูต้อนรับแขกด้วยความจริงใจและเป็นกันเอง
แม่ครัวอย่างเหลียงซิ่วทำอาหารต้อนรับทุกอย่างสุดฝีมือ
ซูฉางจิ่วพึงพอใจมาก แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
“กับข้าวเยอะขนาดนี้ราคาเท่าไรครับเนี่ย ผมเห็นพวกคุณขายราคาไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ”
หากให้ชาวนาผู้สมถะคนนี้พูดแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองผลาญเงินไปกับอาหารมื้อนี้เท่าไร รู้แค่ว่าเงินที่ใช้ไปกับมื้อนี้เราสองคนผัวเมียหาครึ่งปียังไม่พอจ่ายเลย
“ทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอแล้วครับ ทำไมถึงต้องให้มันยุ่งยากแบบนี้ด้วยล่ะ”
“เป็นการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติแบบพ่อยังไงละคะ”
เธอปลอบบิดา นี่คือความตั้งใจของคนบ้านซูนะ พูดเฉย ๆ ก็พอ พูดเยอะคนเขาจะไม่สบายใจเอา
ซูฉางจิ่วได้รับสัญญาณก็หยุดพูด
“ฉางจิ่ว ราคาอาหารที่ขายสู่โลกภายนอกมันต้องแพงอยู่แล้ว แต่อันนี่เราทำกินเองน่ะ เงินที่ใช้จ่ายค่าวัตถุดิบกับที่ทำกินเองไม่ได้ต่างกันหรอก” คุณปู่ซูโน้มน้าวใจด้วยรอยยิ้ม
ถ้าชายชราไม่บอก เขาก็คงกินไม่ลงด้วยซ้ำ
แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายชราก็ตระหนักได้
“ดูที่ผมทำสิ เอาแต่พะวงเรื่องราคาจนงงไปหมด” เขายิ้มเขิน ๆ
หลังจากวางใจก็กินของอร่อยอย่างเต็มที่
กินอิ่ม พักผ่อนเสร็จ กลุ่มนักเดินทางก็มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยเกษตรกรรม
เราติดต่อเสินจื่อเจินไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาจึงรอเราอยู่ที่นั่น
ตอนเห็นเสิ่นจื่อเจินอีกครั้ง ซูฉางจิ่วเอาแต่จ้องอยู่นาน
ทุกคนแปลกใจมากที่เขาเอาแต่มองไม่พูดไม่จาสักคำ
ชายคนนี้ไม่ใช่คนเชื่องช้า แต่ทำไมถึงไม่พูดอะไรตอนได้เจอกันเลยล่ะ?
เสิ่นจื่อเจินยังแปลกใจ เขาเพิ่งเคยกลับไปหงซินครั้งเดียวเองนะ
ซูฉางจิ่วไม่ควรรู้จักเขาสิ
ในตอนที่กำลังจะถาม อีกฝ่ายก็เอ่ยออกมา
“อาจารย์เสิ่นครับ คนอื่นเขากลับเมืองหลวงแล้วดูเด็กขึ้นทั้งนั้น เพราะผมคิดว่าด้วยสภาพแวดล้อมของที่นี่น่ะ แล้วทำไมคุณถึงดูแก่ขึ้นล่ะ?”
ทุกคนเงียบทันที
ก็จริงนะ เสิ่นจื่อเจินอายุเยอะขึ้นมากตั้งแต่ได้กลับมา ทุกคนเห็นชัดเลย
ที่จริง หลังจากมาถึงแล้ว เขาเอาแต่ทำงานหนัก นอนไม่ค่อยพอด้วย
“เถาฮวาดูแลคุณไม่ดีหรือครับ? ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย ผมต้องไปบอกเธอแล้วว่าให้ใส่ใจสุขภาพคุณหน่อย”
ในฐานะเกษตรกร ซูฉางจิ่วรู้ว่าอีกฝ่ายมีความหมายต่อประเทศและพวกเขาขนาดไหน
เขายังหวังเลยว่าเจ้าตัวจะดูแลสุขภาพอย่างดี และพัฒนาเมล็ดพันธุ์อันยอดเยี่ยมเพื่อให้ทุกคนได้มีข้าวกินมากขึ้น
เขาภูมิใจในตัวเถาฮวามาตลอดที่ได้แต่งงานกับเสาหลักของประเทศเช่นนี้
แต่หลังจากได้กลับมาเมืองหลวงแค่ไม่กี่ปี เขากลับมีสุขภาพย่ำแย่ลง
ซูฉางจิ่วคิดโดยไม่รู้ตัวว่าเถาฮวาล้มเหลวในการดูแลครอบครัว
เสิ่นจื่อเจินได้ยินก็รีบอธิบายให้ฟัง “ไม่เลยครับ ๆ ผมทำงานหนักน่ะ”
เถาฮวาดูแลเขาดีมาตลอด ถึงโรงงานจะงานยุ่งมาก แต่ยังดูแลอย่างดี
ถ้าไม่ได้เธอคอยเป็นห่วง สภาพร่างกายคงไม่ได้ดีเท่าตอนนี้หรอก
“อันที่จริง ตลอดหกเดือนมานี้เสี่ยวเถียนจ่ายยาให้ผมเยอะมากเลยครับ พอกินแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”
ไม่ว่าใครที่ได้กินยาของเสี่ยวเถียนจะได้ผลลัพธ์ดีเสมอ แต่สำหรับเสิ่นจื่อเจินแล้วทำไมมันไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย?
“ในเมื่อมันได้ผลดี แล้วทำไมพอคุณใช้ถึงไม่เป็นแบบนั้นล่ะ?”
ฉือเก๋อถามสิ่งที่คาใจออกไป
โรคประจำตัวเก่าของเขายังได้เสี่ยวเถียนรักษาด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด แล้วทำไมเสิ่นจื่อเจินถึงเรื้อรังเป็นครึ่งปีเลยล่ะ?
“ปกติอาจารย์เขาไม่ดูแลตัวเองน่ะครับ เวลากินข้าวก็เอาแต่ทำงาน กินแค่คำเดียวเอง”
ซานกงเป็นคนตอบ ข้างหลังของเขามีเถาฮวายืนอยู่ด้วย
จากนั้นก็เหลือบมองผู้เป็นอาจารย์ที่ยกยิ้มแห้ง
ต่อให้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก็ไม่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรอกนะ
เรื่องนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย
ในตอนที่เสี่ยวเฉ่าได้เห็นซานกง เธอพลันรู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้น