บทที่ 956 ปานสีชาด
บทที่ 956 ปานสีชาด
ตอนลูกสาวเกิด เธอตัวนิดเดียวเอง
เพราะขาดสารอาหารตั้งแต่อยู่ในท้อง เนื้อตัวจึงไม่ขาวผ่องแบบเด็กคนอื่น ๆ แต่ดำคล้ำแทน
แต่ตนจำปานขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่เอวของลูกสาวได้ชัดเจน
แม้ผ่านมาหลายปี แต่ปานรูปนั้นยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยังคงอยู่ในความเป็นจริง
ปานรูปนั้นอาจจะค่อย ๆ หายไปเมื่อโตขึ้นก็ได้
หรืออาจจะไม่ใช่ปาน แต่เป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาในตอนที่เธอกำลังอ่อนแอก็ได้ และจะหายไปตามกาลเวลานั่นเอง
เซี่ยหนานไม่ค่อยมีความหวังเท่าไร
ตอนเสี่ยวเถียนได้ยินคำว่าปานสีชาด เธอก็รู้สึกเหมือนฟ้าผ่า
พี่เสี่ยวเฉ่ามีปานที่เอวจริง ๆ หรือเธอจะเป็นลูกสาวที่พลัดพรากของอาจารย์เซี่ย?
จะเป็นไปได้อย่างไร?
เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย เซี่ยหนานแทบไม่อยากเชื่อสายตา
“หรือเสี่ยวเฉ่าจะมีปานที่เอวจริง ๆ?”
น้ำเสียงเธอสั่นมาก
“หนูเคยเห็นปานที่เอวพี่เสี่ยวเฉ่าจริง ๆ ค่ะ มันมีขนาดเท่าเมล็ดข้าว”
เสี่ยวเถียนตอบด้วยความยากลำบาก
เธอไม่กล้าคิดเลย
ถ้าพี่เสี่ยวเฉ่าเป็นลูกอาจารย์เซี่ยจริง ๆ แล้วกลายเป็นลูกลุงฉางจิ่วได้อย่างไร?
“เธอไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?” เซี่ยหนานแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
คนที่หน้าตาคล้ายกับเธอ ทั้งยังมีปานที่เอวอีก
เธอกำลังจะได้เจอลูกแล้วใช่ไหม?
“ตั้งแต่เด็กหนูไม่เคยได้ยินใครในหมู่บ้านบอกเลยว่าพี่เขาเป็นเด็กที่รับมาเลี้ยง แต่เดี๋ยวลองกลับไปถามผู้ใหญ่ที่บ้านดูนะคะ”
ความตื่นเต้นเดิมลดฮวบทันที
ก็จริงนะ ไม่ว่าจะปิดไว้เป็นความลับแค่ไหน คนในหมู่บ้านก็ต้องลือกันไปแล้ว จริงไหม?
แต่กลับไม่มีข่าวลือเลยเนี่ยสิ มีความเป็นไปได้สูงว่าเด็กคนนี้คือลูกสาวแท้ ๆ ของซูฉางจิ่ว
แค่บังเอิญ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้
…
เดิมทีเสี่ยวเถียนกลับบ้านเฉพาะวันหยุด แต่เธอคิดมากจนทนรอไม่ไหวแล้ว
ซื่อเลี่ยงแปลกใจที่น้องจะกลับ
มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงไม่ได้ไกลจากบ้านพวกเขาก็จริง แต่ก็ไม่ได้ใกล้ แล้วทำไมเสี่ยวเถียนถึงจะกลับเสียล่ะ?
เขาเลยจะตามน้องไปด้วย
แต่เธอบอก เธอโตแล้วไม่ต้องการให้พี่ชายเอาแต่ปกป้องตลอดทั้งวัน
แถมพี่ก็มีคนรักแล้วด้วย ควรอยู่กับเธอที่มหาวิทยาลัยสิ จะมาอยู่กับน้องทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร?
บ่ายวันนั้น เสี่ยวเถียนมีเรียนแค่วิชาเดียว พอจบคลาสก็รีบกลับไปที่หออีหมิงทันที
ใช่ เธอกลับไปที่หออีหมิง
คุณย่าตกใจมากตอนเห็นหลานสาว
ไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย ทำไมจู่ ๆ ก็กลับบ้านมาล่ะ?
เสี่ยวเถียนเห็นไม่มีคนอยู่แถวนี้เลยถามสิ่งที่ต้องการออกไป
คุณย่าซูเอื้อมมือแตะหน้าผาก
“ไม่เห็นจะมีไข้เลย ทำไมดูสับสนแบบนี้ล่ะ?”
แม้จะวัดไข้หลานแล้ว แต่ท่านก็ยังจับหน้าผากตัวเองอีกเพื่อวัดไข้อีกหน
เสี่ยวเถียนพูดไม่ออก
“คุณย่า หนูจริงจังนะ”
“ยัยเด็กคนนี้ นับวันยิ่งคิดอะไรไม่รู้เรื่องเลย พี่เสี่ยวเฉ่าต้องเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของลุงเขาอยู่แล้ว” หญิงชราเอ่ยด้วยความมั่นใจ
เธอมองหลานสาวด้วยความรู้สึกที่ว่าบ้านเราตามใจจนเกินไปแล้ว ถึงได้ถามอะไรไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้ออกมา
ถ้าฉางจิ่วมาได้ยินเข้าจะไม่ทุบหลังเอาหรือ? โนเวล-พีดีเอฟ
เมื่อได้ยินคำยืนยัน เสี่ยวเถียนก็เริ่มสงสัยแล้วว่าหรือจะแค่บังเอิญเฉย ๆ เรื่องปานนั่นก็ด้วย
แต่ยังคงถามต่อ “ย่าแน่ใจนะ? แล้วใครทำคลอดคะ? ย่าเห็นตั้งแต่พี่เขาเกิดเลยหรือ?”
“ทีแรกย่าให้ยายหลี่จากหมู่บ้านข้าง ๆ มาทำคลอด แต่ดันมีปัญหาเพราะตัวเองคลอดอยู่วันหนึ่งสภาพไม่สู้ดี ฉางจิ่วก็เลยส่งไปคลอดที่โรงพยาบาลในอำเภอน่ะ”
“แม้จะช่วยชีวิตไว้ทัน แต่สภาพร่างกายป้าเขาไม่ไหวเลยไม่ตั้งท้องอีกเลย”
“แค่คลอดลูก แต่เกือบได้ไปเยือนประตูนรกเสียแล้ว!”
หญิงชรารู้เรื่องนี้ดี ท่านจึงอดถอนหายใจไม่ได้
ภรรยาของฉางจิ่วยังต้องเจอปัญหาที่พอคลอดลูกกลับไม่มีน้ำนมให้ เสี่ยวเฉ่าจึงเอาแต่กรีดร้องด้วยความหิวโหย
ซานกงเพิ่งจะห้าเดือนกว่า ๆ เอง หวังเซียงฮวาเลยมีนมเหลืออยู่บ้าง ตอนนั้นซูฉางจิ่ววิ่งอุ้มลูกหน้าตั้งมาขอร้องที่บ้าน
ในสมัยนั้นทุก ๆ บ้านล้วนลำบากกันทั้งนั้น สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ได้มีนมเยอะอะไร แต่พอได้อุ้มเด็กน้อยก็รู้สึกสงสารจึงทนไม่ไหวและตอบตกลงให้
เพื่อให้เสี่ยวเฉ่าได้มีชีวิตอยู่ เราจึงให้ซานกงผู้มีอายุไม่ถึงขวบกินข้าวบดวันละสามมื้อแทน
เสี่ยวเฉ่ามีชีวิตรอดได้ด้วยนมของหวังเซียงฮวา
หลายปีที่ผ่านมา ซูฉางจิ่วคอยดูแลเราไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดนะ แต่เป็นเพราะมิตรภาพในตอนนั้นต่างหาก
“ตอนนั้นลุงกับป้าเขาอยู่ที่โรงพยาบาลกว่าเจ็ดแปดวัน ตอนกลับมาฉางจิ่วก็อุ้มเสี่ยวเฉ่าไว้ด้วยนะ”
เสี่ยวเถียนรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นที่นั่นแน่ ๆ
เพราะเสี่ยวเฉ่าไม่ได้เกิดที่หมู่บ้าน แต่เกิดที่โรงพยาบาล
ยุคหลัง ๆ จะเกิดกรณีอุ้มเด็กสลับกันไหม?
หรือกรณีพี่เสี่ยวเฉ่าจะเกิดขึ้นเหมือนกัน?
“ย่าไม่ได้เห็นพี่เสี่ยวเฉ่าตอนเกิดหรือคะ?”
คุณย่าบีบแก้มหลานสาว “เด็กคนนี้ เอาแต่คิดอะไรเนี่ย นี่มันยุคไหนแล้ว ใครที่ไหนจะเอาลูกชาวบ้านมาเลี้ยงล่ะ? หนูอาจจะไม่รู้แต่เมื่อสองปีนั้นเราแทบจะอดตายกันจริง ๆ นะ”
หญิงชราถอนหายใจ ครอบครัวเราทำงานกันหนักมาก
ถึงจะทำงานได้ แต่ก็หิวมากจนลุกแทบไม่ขึ้น
แต่เสี่ยวเถียนรู้เรื่องราวในตอนนั้นดี
ทุกคนต้องใช้ชีวิตโดยกินแต่เปลือกไม้รากไม้ เก็บข้าวและแป้งไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
ถ้าไม่ใช่ลูกทางสายเลือด ก็คงไม่รีบเลี้ยงกันง่าย ๆ หรอก
หรือจะเป็นไปได้?
เพราะมีปานเดียวกับที่บอกเลยนะ
“ย่าคะ แล้วมีความเป็นไปได้ไหมที่ลุงเขาจะรับพี่เสี่ยวเฉ่ามาเลี้ยง?”
คุณย่าซูเคาะหัว
เด็กคนนี้คิดเรื่องไร้สาระอีกแล้ว
“ถ้าลุงเขาได้ยินได้ทุบหลานแน่!”
ยิ่งโตเท่าไร ยิ่งทำตัวไม่รู้จักกาลเทศะจริง ๆ
——————————————————-