บทที่ 1031 เนื้อหาที่คุยกันหลังเข้านอน
บทที่ 1031 เนื้อหาที่คุยกันหลังเข้านอน
อันที่จริง สาวน้อยน่ารักไร้เดียงสาคนนั้นที่มหาวิทยาลัย ไม่น่าจะใช่ซูเสี่ยวเถียนตามปกติ
หลังจากผู้อำนวยการเหลยเกาเชาเดินจากไป สาวน้อยสองคนที่นิ่งเงียบอยู่ก็พูดขึ้นในที่สุด
“เสี่ยวเถียน เธอนี่เยี่ยมจริง ๆ เมื่อไรจะสอนพวกเราบ้าง?” จ้าวหงเหมยยังคงไม่สนใจเหมือนเดิม
“เธอต้องอ่านหนังสือมากขึ้น เปิดอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ ยิ่งอ่านมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น”
หลังจากเสี่ยวเถียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็กล่าวเช่นนั้นออกมา
แม้ว่าเธอจะกลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่นอกเหนือจากแนวโน้มทั่วไปบางประการแล้ว อิทธิพลต่อเสี่ยวเถียนในชาติที่แล้วของเธอก็มีไม่มากนัก
หากต้องการศึกษาธุรกิจจริง ๆ ว่าอะไรทำให้เสี่ยวเถียนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็คือหนังสือ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสี่ยวเถียนอ่านหนังสือมากเท่ากับรถบรรทุกหนังสือคันหนึ่ง
นอกจากเธอจะอ่านหนังสือแล้ว ก็ยังมีคำกล่าวที่ว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเชี่ยวชาญในทุกอาชีพ
เธออ่านหนังสือมามากมายทุกประเภท จากนั้นก็นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นความมั่นใจของเธอ ซูเสี่ยวเถียนในวันนี้
“ส่วนสิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดคุยกันไป พวกเธอสองคนมีความคิดเห็นอะไรไหม?” เสี่ยวเถียนถามอีกครั้ง
แม้ว่าเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนนี้จะไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอก็ยังเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ เสี่ยวเถียนจึงเชื่อว่าความเห็นของสองคนนี้ต้องสร้างความแตกต่างแก่โรงงานของเธอแน่
ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนไม่คาดคิดว่าเสี่ยวเถียนจะถามคำถามเช่นนี้กับพวกเธอ
แต่ทั้งสองคนยังคงพิจารณาคำพูดของอีกฝ่ายอย่างจริงจังมาก
“ช่วงบ่ายนี้พวกเธอลองพิจารณาดู แล้วคืนนี้พวกเรามานอนถกกัน”
เสี่ยวเถียนยิ้มอย่างมีความสุข แน่นอนว่าเธอไม่ยอมให้เพื่อนร่วมห้องสองคนแสดงความเห็นแค่ไม่กี่อย่าง เธอก็เลยพูดออกมา
ทั้งสองคนพยักหน้า
“เช้านี้งานของพวกเธอยังราบรื่นดีไหม?” เสี่ยวเถียนอยากรู้เกี่ยวกับผลงานของทั้งสองคนเมื่อเช้านี้
เดิมทีเธอคิดว่า สูตรอาหารเป็นผลมาจากการปรุงทีละหม้อ แต่ใครจะรู้ว่ามันไม่ใช่เลย เพราะต้องวิเคราะห์ผ่านอุปกรณ์ทางด้านวิทยาศาสตร์ก่อนด้วย
เธอติดตามศึกษามาทั้งเช้า แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
แต่สำหรับต่งเยี่ยนอัน สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญ
เธอแค่รู้สึกสนใจ และเชื่อว่าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
ไม่แน่ ในอนาคตอาจจะสามารถค้นคว้าสูตรอาหารได้ด้วยตัวเอง
จ้าวหงเหมยก็ส่ายหัวเหมือนป๋องแป๋ง
“ฉันคิดว่าการขายหมายถึงการเอาของไปขายโดยตรง แต่กลับยังมีเนื้อหาที่ต้องทำความเข้าใจอีกมาก”
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่อัตราส่วนของส่วนผสม การวิเคราะห์รสชาติก็ต้องเชี่ยวชาญอย่างชัดแจ้งจึงจะสามารถไปขายได้
ก่อนหน้านี้เธอคิดง่ายไป
“อันที่จริงแล้ว ถ้าเธอไม่อยากเรียนภาคทฤษฎี ก็สามารถไปลองขายโดยตรงได้” ถึงแม้จะพูดว่า การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ดีต่อการขาย แต่ก็ไม่เสมอ
“จริงหรือ?” จ้าวหงเหมยถามด้วยความประหลาดใจ
“ทำได้สิ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะแสดงออกมาในรูปแบบไหน” เสี่ยวเถียนยิ้มเล็กน้อย “โรงงานของพวกเราให้สวัสดิการแก่พนักงานขายจริง ๆ และถ้าใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ ฉันก็เชื่อว่าผลลัพธ์น่าจะออกมาดี”
เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับโรงงาน จึงมีการแจกตัวอย่างอาหารและของกำนัลตามสัดส่วนที่กำหนด
แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ เราจะไม่ได้บอกว่าเป็นตัวอย่างอาหารและของกำนัล หลายคนจึงมองสิ่งเหล่านี้เป็นสินค้าขายเอาเงิน
จนถึงตอนนี้ นอกจากซุนเสี่ยวอวี๋แล้ว ก็ดูจะยังไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้
ในเรื่องนี้ แท้จริงแล้วเสี่ยวเถียนเสียใจมาก
จ้าวหงเหมยฝึกงานอยู่แผนกฝ่ายขายตลอดเช้า จึงย่อมรู้ว่าผลิตภัณฑ์มาตรฐานแต่ละกล่องถูกจัดส่งในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง
เธอก็เข้าใจความหมายของคำพูดของซูเสี่ยวเถียนทันที
จ้าวหงเหมยตกอยู่ในความเงียบ เธอรู้สึกลึก ๆ ว่าตัวเองอาจต่อยอดจากบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กเหล่านี้ได้
เสี่ยวเถียนเห็นว่าจ้าวหงเหมยฟังอยู่ เธอจึงไม่พูดอะไรมาก
เรื่องนี้เพียงให้คำแนะนำนิดหน่อยก็เพียงพอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าความเข้าใจของคนคนนั้นกว้างขวางแค่ไหน
ในเมื่อชี้แนะจ้าวหงเหมยแล้ว เสี่ยวเถียนไม่สามารถเลือกที่รักมักที่ชังได้
เธอแบ่งปันความรู้บางประการเกี่ยวกับสูตรนี้ และบอกความรู้พื้นฐานให้ต่งเยี่ยนอันเช่นกัน
สิ่งสำคัญก็คือ เราควรรู้ถึงความชอบของคนยุคปัจจุบัน
ไม่ว่าจะตั้งใจทำผลิตภัณฑ์แค่ไหน แต่ถ้าไม่สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบัน ก็เสียเปล่า
ดังเช่น ในช่วงหนึ่ง มีคนชอบอาหารรสเผ็ดเพิ่มมากขึ้น จากนั้นสัดส่วนการผลิตในโรงงานก็จะปรับตามไปด้วย
อีกทั้งยังต้องกำหนดเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาด้วย เช่นว่าผู้คนในบางพื้นที่อาจมีรสนิยมบางอย่าง และสิ่งสำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
ต่งเยี่ยนอันไม่ได้คิดว่า เสี่ยวเถียนจะรู้สูตรอาหารต่าง ๆ ดีขนาดนี้
เธอสงสัย ยังมีอะไรในโลกนี้ที่เสี่ยวเถียนไม่รู้หรือไม่?
พอนึกถึงสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการอ่านเพิ่มเติม ต่งเยี่ยนอันก็รู้สึกว่า อาจเป็นเพราะเธออ่านหนังสือน้อยไป
และเมื่อนึกถึงบนชั้นหนังสือขนาดใหญ่ในบ้านของเสี่ยวเถียน หนังสือหลากหลายประเภทเต็มไปหมด เธอก็แน่ใจว่าเพราะตนเองอ่านหนังสือน้อยไปจึงไม่เข้าใจสิ่งนี้
“เสี่ยวเถียน ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะพยายามค้นคว้าสูตรอาหารต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดนี้อย่างจริงจังแล้วละ”
“ในโรงงานของพวกเรา หากค้นคว้าสูตรอาหารใหม่ได้ จะมีรางวัลด้วยนะ ถ้าเธออยากทำวิจัย ก็จะได้รับรางวัลเหมือนกับนักวิจัยประจำโรงงานเช่นกัน”
ไม่ใช่ว่าเสี่ยวเถียนไม่มีสูตรอยู่ในมือ แต่รู้สึกว่า การให้แผนกที่เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาดำเนินการวิจัยและพัฒนาไป จึงทำให้การพัฒนาของโรงงานเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น
ถ้าทำเองเสียหมด ลูกจ้างทั้งหมดในโรงงานก็คงสูญเสียแรงใจในการทำงานและพัฒนาโรงงานต่อไปไม่ได้
ดังนั้น เพื่อให้โรงงานมีการพัฒนาในระยะยาว เธอจึงจำเป็นต้องแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
ตอนกลางคืน
สามสาวนอนอยู่บนเตียงในหอพัก แล้วการถกกันท่ามกลางความมืดก็เริ่มขึ้น
ลักษณะการคุยของพวกเธอในตอนนี้ ทำราวกับไม่มีใครอยู่ในหอพัก เป็นการสนทนากันโดยที่ไม่มีความกดดันใด ๆ
แต่การคุยกันในวันนี้แตกต่างกับตอนอยู่มหาวิทยาลัยโดยสิ้นเชิง
เพราะเป็นทางการมากกว่า
นอกจากนี้ ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาโรงงานขนาดใหญ่เช่นนี้ จะไม่เป็นทางการได้อย่างไร
ในช่วงบ่าย ทั้งสองคนได้คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพวกเธอก็ได้คำถามจากการครุ่นคิดหลายตลบนั้น
“ฉันคิดว่า การลดค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ในขณะที่ลดค่าใช้จ่าย ก็ไม่สามารถลดคุณภาพได้ ถ้าคุณภาพตก โรงงานจะไม่เพียงไม่พัฒนา แต่ลูกค้าเดิมก็จะสูญเสียไปด้วย” ต่งเยี่ยนอันยกความคิดของตนขึ้นมาพูด
ทว่าแม้เธอจะคิดถึงปัญหานี้ในใจแล้วก็ตาม แต่ก็คาดไม่ถึงว่ามีการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้วย
เพราะเธอยังไม่คุ้นกับสายงานนี้
“ฉันคิดว่าสินค้าคุณภาพสูงยึดครองตลาดได้ง่ายกว่า อีกทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับกลุ่มคนต่างๆ ก็ถือเป็นส่วนสำคัญในการครองตลาดเช่นกัน”
นี่เป็นความคิดที่สองซึ่งตงเยี่ยนอันเสนอ ต้องบอกว่า นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
สินค้าที่ผลิตในโรงงานขณะนี้ ล้วนเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น ทั้งยังคิดค้นรสชาติที่เหมาะกับวัยรุ่นด้วย เพราะประชากรกลุ่มนี้ยังไงก็มีกำลังในการซื้อ
แต่ผู้สูงอายุกับเด็ก ก็เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการความแปลกใหม่ด้วย ซึ่งอันที่จริงเสี่ยวเถียนเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
“นั่นก็คือทั้งหมดที่ฉันคิดได้”
ต่งเยี่ยนอันรู้สึกว่าตนคิดได้แค่สองสิ่งนี้เอง จึงรู้สึกอายเล็กน้อย