ตอนที่ 9 นางซูบผอมหมดแล้ว
“อะไรนะ?” เสิ่นอิงตกใจ เขาก้าวเท้าไปด้านหน้า ก่อนจะกระชากคอเสื้อผู้พิทักษ์ทมิฬขึ้นมาเอ่ยถาม “สตรีผู้นั้นเล่า?”
“นางยืนอยู่ในทะเลสาบ วันนี้ลมที่พัดเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ด้วย ดังนั้น…”
สีหน้าของเสิ่นอิงดูแย่ลงอย่างมาก แม้จะมีคนจำนวนมิน้อยที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลร้อยบุษบา แต่ก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะหลุดพ้นจากความยากลำบากเพียงลำพัง ทว่ามีคนกล้าจุดไฟเผาดอกไม้ แม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการแล้ว
“นายท่าน ข้าจะไปพาตัวสตรีผู้นั้นกลับมาขอรับ” ค่ายกลร้อยบุษบาเป็นสิ่งที่นายท่านสร้างขึ้น ดอกไม้และต้นไม้ที่อยู่ในนั้นปลูกขึ้นตามค่ายกลอย่างระมัดระวัง หากถูกเผาทำลายเช่นนี้ เลือดและเนื้อของนายท่านคงหมดสิ้น
เสิ่นอิงแอบขบฟันกรอด คาดว่าสตรีผู้นั้นคงได้ตายอนาถเป็นแน่
บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ช้อนสายตาขึ้นมองเล็กน้อย อารมณ์ยังคงนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่มือที่ลูบเสือดำกลับค่อย ๆ กำเข้าด้วยกัน ทำให้เจ้าเสือดำที่นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ โกรธเคืองมาก
เขาเงยหน้ามองเสิ่นอิงปราดหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงและตอบเสียงทุ้ม “อืม”
เสิ่นอิงรีบนำผู้พิทักษ์ทมิฬออกจากห้องโถงใหญ่ และมุ่งหน้าเข้าสู่ลานค่ายกลร้อยบุษบาที่อยู่ใกล้กับประตูมากที่สุด
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาฟังเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอก นางทราบดีว่าคนที่อยู่ในจวนแห่งนี้ไม่ธรรมดา แค่เกิดเพลิงไหม้ ก็มีคนยกโขยงนำน้ำมาดับไฟแล้ว
แต่น่าเสียดาย พวกเขาดับไฟที่หนึ่ง นางก็จุดอีกที่หนึ่ง ดูซิว่าต้นไม้ที่ติดไฟนี้หรือน้ำแต่ละถังของพวกเขาจะมีพลังมากกว่ากัน คิดจะขังนางไว้ในค่ายกลนี้? ช่างปัญญาอ่อนเพ้อฝันนัก
“หยุด”
ในที่สุด หลังจากที่นางจุดไฟเผาอย่างต่อเนื่องไปสามจุด ห่างออกไปไม่ไกลก็มีคนลอยเหนือผิวน้ำในทะเลสาบมาหานาง และหยุดลงตรงหน้าด้วยใบหน้าดำอึมครึม ก่อนปัดคันฉ่องในมือของนางจนตกลงสู่เบื้องล่าง
อวี้ชิงลั่วลูบมือที่ถูกทุบจนเจ็บ กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “แหม ในที่สุดก็มีคนเป็นโผล่ออกมาสักที”
บุรุษผู้นี้…มิใช่บุรุษที่ลงมือสู้ภายในโรงเตี๊ยมตอนแรก ท่าทางของเขาดูเหมือนจะคุยง่าย แต่รอยยิ้มของเขากลับดูไม่ค่อยสดใสเอาเสียเลย
“แม่นาง เจ้าจุดไฟเผาในจวนโม่ รู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเช่นไร?” เสิ่นอิงเงยหน้าขึ้น ครั้นเห็นท่าทางอ่อนโยนและจิตใจดีของนาง ก็อดชะงักไม่ได้ แต่เมื่อหันกลับมามอง พบกับไฟที่นางจุดและแววเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในคำพูด ก็เกิดความตกใจในทันที เขาทราบแล้วว่ามิอาจตัดสินคนจากภายนอกได้
การกระทำทั้งหมดของแม่นางผู้นี้และภาพลักษณ์ภายนอกของนาง แตกต่างกันคนละขั้วอย่างสมบูรณ์ เกรงว่านางจะมิใช่แค่คุณหนูผู้ร่ำรวยที่เดินหลงทางเข้ามาอย่างที่ผู้พิทักษ์ทมิฬบอกไว้ แต่อาจเข้ามาที่จวนโม่ด้วยวัตถุประสงค์อื่น
อวี้ชิงลั่วมองเขาปราดหนึ่ง และยักไหล่อย่างผู้บริสุทธิ์ “ผลที่ตามมา? ข้าไม่รู้หรอก ข้าเองก็ไม่ได้รู้จักคนในจวนโม่แห่งนี้ อีกอย่าง จะโทษข้าก็ไม่ถูก ข้าถูกขังอยู่ในนี้มาทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว เจ้าดูสิ หน้าของข้าดูซูบผอมลงตั้งเยอะ”
ระหว่างที่พูด นางก็ชะโงกหน้ามาตรงหน้าเสิ่นอิง
อีกฝ่ายถึงกับหน้าแข็งทื่อ และรีบโก่งตัวไปด้านหลัง พร้อมกับส่งเสียงกระแอมเบา ๆ “แค่ก แม่นางตะโกนเรียกก็ย่อมได้”
“ตะโกนเรียก? เจ้าอย่ามาล้อข้าเล่น ข้าตะโกนเรียกทั้งวันทั้งคืนแล้ว ตะโกนจนแสบคอไปหมดแล้วด้วย เจ้าฟังสิ เสียงของข้าแหบพร่ามากเลยใช่หรือไม่? แต่ต่อให้ข้าตะโกนจนหมดลม ก็ไม่มีผีตัวไหนโผล่ออกมาให้ข้าเห็น เป็นเพราะข้ายังต้องการชีวิตของตนเอง ถึงได้จุดไฟเผา” ระหว่างที่อวี้ชิงลั่วพูด นางก็เหลือบมองเขาราวกับมองแต่ก็ไม่มองปราดหนึ่ง พูดเย้ยหยันว่า “ใครจะไปคิด พอข้าจุดไฟ คนที่เข้ามาดับไฟก็โผล่ออกมาทันที เจ้าว่านี่มันคืออะไรกันล่ะ? เป็นเพราะคนของจวนโม่แห่งนี้จงใจเห็นคนตายแต่ไม่ยอมช่วยเหลืองั้นหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าก็คงมิใช่เรื่องผิดเลยสักนิดที่จะจุดไฟเผา”
เสิ่นอิงไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้จะคารมคมคายเช่นนี้ ทั้งยัง…หน้าหนาด้วย
ผู้พิทักษ์ทมิฬเล่าถึงสถานการณ์ของนางขณะอยู่ในค่ายกลร้อยบุษบาให้เขาฟังระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ไปมิน้อย นางนอนขี้เกียจอย่างสบายใจเฉิบตลอดทั้งคืน อย่าว่าแต่ตะโกนเรียกคนเลย แม้แต่อ้าปากพูดก็ยังไม่มี นอนหลับตอนกลางคืนก็ยังรู้จักหาหินสะอาด ๆ ผิวเรียบ บนร่างกายยังพกผ้าห่มขนาดเล็กมาอีกหนึ่งผืน ไม่หนาวและไม่หิว แม้แต่แมลงยังไม่กัดสักครั้ง คล้ายกับมาชมดอกไม้และพระจันทร์ที่จวนโม่อย่างไรอย่างนั้น สำเริงสำราญเสียเหลือเกิน
พูดความจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นอิงเห็นคนที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลร้อยบุษบาแต่กลับมีชีวิตรอดและดูสบาย ๆ เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่แตกตื่น แต่ยังทำลายค่ายกลร้อยบุษบาของนายท่านด้วย
โดยเฉพาะ สตรีผู้นี้ที่ยังดูสาวและอายุน่าจะประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี
ดวงตาของเสิ่นอิงหรี่ลงอย่างห้ามมิอยู่ หากสตรีผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายก็คงดี หากมีเจตนาอย่างอื่น เช่นนั้นคงได้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นจริง ๆ
“เอาเถอะ ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว เจ้าก็ตามข้าไปเจอนายท่านเถอะ” เสิ่นอิงยอมรับว่าเถียงสู้นางไม่ได้ พานางไปเจอนายท่านน่าจะดีกว่า
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว นายท่าน? บุรุษชุดขาวคนนั้น หรือคนอื่น?
“เอ๋…” ใครจะไปคิดว่ายังไม่ทันที่นางจะคิดจนได้คำตอบ แขนของนางก็ถูกเสิ่นอิงดึงและลอยไปด้านหน้าแล้ว
ใบหน้าของอวี้ชิงลั่วเปลี่ยนสีทันใด บอกจะไปก็ไป คิดจะยกก็ยก หรือไม่ต้องถามความเห็นจากนางแล้ว?
“ข้านับถึงสาม ถ้าเจ้าไม่ปล่อยข้าลง เจ้าก็รับผิดชอบผลลัพธ์ที่ตามมาด้วยตนเองแล้วกัน”
เสิ่นอิงชะงัก เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ก็พบว่าสีหน้าของนางดูเคร่งขรึมเย็นชา ไม่คล้ายกับกำลังล้อเล่น ภายในใจก็อดเย็นวาบไม่ได้ การย่างก้าวช้าลงอย่างอธิบายไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงหยุดลงและปล่อยแขนของนาง
อวี้ชิงลั่วบีบแขนและแค่นเสียงเบา ๆ “นำทางไป”
ตอนที่เสิ่นอิงก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว พริบตาต่อมา สีหน้าของเขาก็แข็งค้าง แอบก่นด่าตนเองด้วยความโกรธเคือง ที่นี่คือจวนโม่ เขาเองก็เป็นเจ้าบ้านของจวนโม่ มีสิทธิ์อะไรถึงต้องฟังคำพูดของสตรีประหลาดที่อยู่ตรงหน้าด้วย?
เพียงแต่…นี่ก็เดินออกมาแล้ว กลับไปอุ้มนางอีกหนมิใช่ว่าเป็นคนเปลี่ยนใจง่ายอย่างเห็นได้ชัดหรอกหรือ?
ระหว่างที่เขากำลังคิดไม่ตก ทั้งสองคนก็เดินมาถึงด้านนอกห้องโถงใหญ่โดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอิงรีบเก็บอารมณ์ความรู้สึก ก้าวเท้าเข้าประตูด้วยความเคารพและเคร่งขรึม จากนั้นจึงก้มหน้าพูดกับบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้า “นายท่าน ข้าพานางมาเข้าพบแล้วขอรับ”
สิ้นสุดเสียงของเขา ยังไม่รอให้นายท่านตอบรับ ก็ได้ยินเสียงของอวี้ชิงลั่วเดินเข้ามาด้านใน มุมปากของเขาถึงกับกระตุกวูบแรง ๆ อย่างห้ามมิอยู่ และเข้ามาขวางตรงหน้านางตามจิตใต้สำนึก
“ชื่อ”
อวี้ชิงลั่วเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าด้านหน้าของบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ม่านค่อย ๆ ลดระดับลงอย่างช้า ๆ บดบังใบหน้าที่ชัดเจนของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังม่าน
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น คำพูดของเขาเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวา แม้ว่าเมื่อครู่จะเป็นแค่เพียงแวบเดียว แต่นางก็สังเกตเห็นโครงร่างของบุรุษผู้นั้น รูปร่างมีความชัดเจนมาก เพียงแต่สีหน้าของเขาดูเหมือนจะขาวซีดไปหน่อย
ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ข้างกายของเขามีเสือดำนอนเกียจคร้านด้วยท่วงท่าสง่างามอยู่หนึ่งตัว ทำให้นาง…อยากครอบครองเป็นของตนเอง
เสิ่นอิงเห็นนางเพิกเฉยคำพูดของนายท่านอย่างสมบูรณ์ คิ้วพลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาเหลือบมองนางและกระซิบย้ำเตือน “นายท่านถามว่าเจ้าชื่ออะไร”
…………………………
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วไม่ใช่ลูกพลับนิ่มนะขอบอก วางเพลิงจนต้องมีคนพาออกจากค่ายกลเองเลยคิดดู
ไหหม่า (海馬)