ตอนที่ 33 แปลกประหลาด
ภายในห้องโถงเงียบสงัด ทุกคนต่างจ้องมองไปด้านหน้าพลางกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า ขณะมองดูจินหลิวหลีที่จับหมายเลขแรกออกมา
“หมายเลขห้า” เสียงของนางยังน่าฟังเหมือนเดิม แต่หลายคนต่างแอบขุ่นเคืองอย่างเงียบ ๆ มองดูหมายเลขในมือด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งยวด
เพียงไม่นานในห้องพิเศษชั้นสองก็มีคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมา มีคนหนึ่งยกแผ่นป้ายในมือพลางตะโกนเสียงดัง “ทางนี้ พวกเราเอง”
จินหลิวหลีเงยหน้าขึ้น ก็พบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังชูแผ่นป้ายไม้ด้วยความดีใจ นางจึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายเบา ๆ “เชิญคนไข้ลงมา แล้วตามข้าไป”
“เจ้าค่ะ” เด็กสาวคนนั้นรีบกลับเข้าไปด้านใน ก่อนจะประคองฮูหยินของตระกูลลงมาอย่างมีความสุข
จินหลิวหลีลุกขึ้น นางรู้สึกได้ถึงพลังปราณรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน นางทราบดีว่าคนเหล่านั้นเริ่มทนไม่ไหวแล้ว จึงยิ้มด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังโรงเตี๊ยม
ครั้นจินหลิวหลีออกไป ภายในห้องโถงก็เริ่มเกิดเสียงโวยวายขึ้นอีกหน
มีคนอธิษฐานให้ครั้งต่อไปเป็นตนเอง มีคนเริ่มก้มหน้าด้วยความเศร้าโศกถอนหายใจให้กับความโชคร้ายของตน มีคนถลึงมองป้ายไม้ด้วยความไม่พอใจ ราวกับอยากเจาะให้กลายเป็นรูพรุน
เย่ซิวตู๋จิบชาหนึ่งคำ กล่าวเคล้ารอยยิ้มเบา ๆ “เสิ่นอิง เจ้าตามไปดู”
“ขอรับ” เสิ่นอิงทราบดี จินหลิวหลีเห็นผู้พิทักษ์ทมิฬที่นายท่านเตรียมไว้แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูถูกสตรีผู้นั้นไปหน่อย
ครั้นประตูถูกเปิดและปิดลง หนานหนานก็เงยหน้าด้วยความสงสัย เขาง่วงนิดหน่อย ท้องก็หิวแล้ว เหตุใดท่านน้าจินถึงยังไม่ส่งของกินมาให้อีก? ท่านแม่ก็ไม่รู้ว่าไปไหนอีกแล้ว
ด้านหลังโรงเตี๊ยมมีเรือนอันประณีตแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่พักอาศัยของจินหลิวหลี มีการตกแต่งและแกะสลัก ทำให้ดูมีระดับมากยิ่งขึ้น
อวี้ชิงลั่วเอนกายลงบนเก้าอี้นอน หลับตาลงและกระตุกมุมปากขึ้นเบา ๆ นิ้วมือของนางเคาะลงบนพนักวางแขนบนเก้าอี้ รู้สึกสบายอย่างมาก
เพียงไม่นานด้านนอกประตูก็เกิดเสียงเคาะประตูดังขึ้น ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปากพูดอะไร จินหลิวหลีก็นำสตรีอายุมากกว่าห้าสิบปีเข้ามา ก่อนปิดประตูลง เพื่อบดบังแสงแดดสีทองอร่ามจากด้านนอก
“นั่งลงเถิด” สตรีผู้นั้นถูกปิดตาเดินเข้ามา อวี้ชิงลั่วเป็นคนชอบความลึกลับมาแต่แรก ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ผ่านการรักษาจากนางจึงเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่ามีส่วนน้อยที่ได้เห็นหน้าจริง ๆ ของนาง ยกตัวอย่างเช่นจินหลิวหลีผู้มีวรยุทธชั้นสูงหรือคนที่มีอำนาจมาก
สตรีผู้นี้ดูเหมือนว่าจะสงสัยเกี่ยวกับอวี้ชิงลั่วมาก แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามเอ่ยปากพูดอะไร และนางก็ไม่ได้ยินเสียงพูดของอวี้ชิงลั่วด้วย รู้สึกได้แค่ว่ามีนิ้วมือเย็นเฉียบสัมผัสลงบนข้อมือของนาง พร้อมกับแรงกดดันไร้รูปร่างกดทับอยู่จนนางไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ผ่านไปไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบ ๆ เพียงครู่เดียวก็ถูกจินหลิวหลีประคองร่างออกจากห้องไป
ครั้นออกมา ผ้าปิดตาของนางก็ถูกคลายออก และมีกระดาษที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรเต็มแผ่นยัดอยู่ในมือ
“ฮูหยินอี้ หมอปีศาจบอกว่าโรคของฮูหยินไม่ร้ายแรง กินยาตามข้อกำหนดบนใบสั่งยาที่เขียนไว้ตามเวลาก็พอ หลังจากนี้อีกสิบวันก็จะหายดี แล้วก็…ค่ารักษาหนึ่งร้อยตำลึง”
ครั้นกล่าวจบ จินหลิวหลีก็ยื่นมือออกมาตรงหน้านาง
ฮูหยินอี้รีบให้สาวใช้ข้างกายยื่นเงินไปที่มือของนาง แต่ภายในใจก็ยังมีความสงสัยมากมาย “เถ้าแก่เนี้ยจิน โรคของข้าไม่ร้ายแรงจริง ๆ หรือ? ข้าไปหาหมอมามากมาย พวกเขาต่างก็บอกว่าโรคของข้ายื้อเวลาไปได้อีกไม่นาน ข้าจะหายได้ภายในระยะเวลาสิบวันจริงหรือ?”
จินหลิวหลีเก็บเงินด้วยรอยยิ้ม พยักหน้ากล่าว “แน่นอน หากท่านไม่หาย ก็มาหาข้าที่โรงเตี๊ยมฝูหลงแห่งนี้ได้ เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้พร้อมคืนกลับไปได้ทุกเมื่อ ส่วนหมอเหล่านั้นที่ท่านพูดถึง เหอะ คาดว่าฝีมือทางการแพทย์คงไม่ดี ท่านดูใบสั่งยานี้เถิด ดูสิว่ามีตรงไหนที่แตกต่างจากใบสั่งยาของหมอคนอื่น?”
สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินอี้รีบกางกระดาษในมือ นางอ่านแบบรวบรัด ก็ร้องอุทานออกมา “ฮูหยิน นี่ไม่เหมือนกับใบสั่งยาของหมอคนอื่นเลยเจ้าค่ะ เพียงแต่…นี่คืออะไรกัน? ให้ลุกขึ้นไปรวบรวมหยาดน้ำค้างทุกเช้า? เพราะเหตุใดเจ้าคะ?”
จินหลิวหลียักไหล่ ไฉนเลยนางจะทราบว่าในนี้มีอะไร สูตรยาของอวี้ชิงลั่วแปลกประหลาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฮูหยินอี้ ท่านแค่ทำตามสูตรนี้เพื่อรักษาโรคก็พอ ป้ายจินหลิวหลีของข้าก็อยู่ที่นี่ ข้าไม่ทุบมันด้วยมือตนเองหรอก”
ฮูหยินอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม้นางจะเกิดความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหมอปีศาจที่อยู่ข้างในนั้นมาก แต่นางก็พยักหน้าและนำสาวใช้ของตระกูลเดินกลับไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้ยินเสียงของหมอปีศาจ ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของหมอปีศาจ และไม่รู้ด้วยว่าคนที่อยู่ในนั้นคือหมอปีศาจที่คนเล่าขานกันหรือไม่ เพียงแต่การรับประกันโดยเถ้าแก่เนี้ยจิน ทำให้นางเบาใจลงได้ครึ่งหนึ่ง ถึงอย่างไรเถ้าแก่เนี้ยจินก็มีชื่อเสียงอยู่ในเจียงเฉิง
ครั้นเห็นสาวใช้ประคองฮูหยินอี้ออกมาจากหลังสวน จินหลิวหลีจึงเงยหน้ามองคานบ้านเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเบา ๆ และเดินกลับเข้าไปในห้องอีกหน
“คาดว่ามีคนอีกสี่ห้าคนสนใจในตัวเจ้ามากเชียวล่ะ” เรือนร่างพราวเสน่ห์เดินมานั่งบนเก้าอี้เอนกายของอวี้ชิงลั่ว จินหลิวหลียิ้มด้วยรอยยิ้มที่หลากหลายอารมณ์
“อืม บนโลกใบนี้มีคนจำนวนมากที่สนใจข้า ไม่ได้มีแค่สี่คนห้าคนนี้หรอก” อวี้ชิงลั่วช้อนสายตามอง นางถามด้วยเสียงทุ้ม “ทางฝั่งนั้นเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”
“แน่นอนอยู่แล้ว รับรองว่าทำให้ใครบางคนจำได้ไม่ลืมตลอดชีวิตเลยล่ะ”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า ก่อนจะยกเท้าเตะอีกฝ่าย “งั้นเจ้าก็ออกไปได้แล้ว ให้คนไข้คนที่สองเข้ามาได้”
จินหลิวหลีบุ้ยปาก ไม่พอใจกับพฤติกรรมได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งของอวี้ชิงลั่ว แต่เรื่องงานก็เร่งรีบ นางไม่อยากให้ล่าช้า ถึงอย่างไรได้ดูเรื่องสนุกก็สำคัญกว่า
“จริงสิ ลูกชายของเจ้าล่ะ?” ก่อนออกไป จู่ ๆ จินหลิวหลีก็นึกถึงเด็กคนหนึ่งที่มิได้เจอกันนาน ภายในใจก็รู้สึกคิดถึงมาก จนอดถามมิได้
อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า แอบรู้สึกหมดแรง “ออกไปเล่นเองแล้ว”
เจ้าเด็กนั่นตอนนี้กำลังกระตือรือร้นที่จะมีความสัมพันธ์กับพยัคฆ์ทมิฬ จึงลืมนางผู้เป็นมารดาไกลสุดขอบฟ้าไปแล้ว
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันที่มีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ไม่เช่นนั้นจากนิสัยชอบวิ่งพล่านนั่น ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้งานของนางพังหรือไม่
จินหลิวหลีเหลือบมองนางด้วยความประหลาดใจ นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนปิดซ่อนอะไรบางอย่างไว้ หนานหนานชอบความครึกครื้น สิ่งนี้ทุกคนต่างก็รู้ดี เรื่องนี้มิอาจปิดบังเขาได้ เว้นเสียแต่ว่า…เจ้าเด็กคนนั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
จินหลิวหลีพยักหน้าไปพลางเดินไปที่ห้องโถงไปพลาง ภายในใจก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
ตอนที่นิ้วของนางหยิบหมายเลขที่สองขึ้นมา จู่ ๆ ก็นึกถึงสิ่งที่อวี้ชิงลั่วเตือนนางก่อนหน้านี้
ในกล่องจับฉลากมีหมายเลขจำนวนมาก แต่กลับไม่มีหมายเลขหนึ่งของอวี๋จั้วหลินและหมายเลขสามของตระกูลโม่อันลึกลับนั้น
อวี๋จั้วหลินจงใจไม่ใส่ลงไปให้นาง เพื่อป้องกันไม่ให้จับโดนหมายเลขของเขา สิ่งนี้นางพอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรเป้าหมายของพวกนางในวันนี้ก็คือคนคนนั้น วัตถุประสงค์ก็คือปล่อยให้อีกฝ่ายรอจนร้อนใจ
เพียงแต่จวนโม่…
จินหลิวหลีนึกฉงนสงสัย พวกนางและจวนโม่ไม่เคยบาดหมางระหว่างกัน เหตุไฉนอวี้ชิงลั่วถึงไม่ให้นางใส่หมายเลขของพวกเขาลงไป?
เรื่องนี้ชักแปลกประหลาดเสียแล้วสิ
จินหลิวหลีคิดว่าตนเองได้กลิ่นทะแม่ง ๆ ดวงตากลอกด้วยความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเรียกลูกน้องให้เดินมาหา “ไปเขียนเลข ‘สาม’ มาให้ข้า”
…………………………
สารจากผู้แปล
เพราะกลัวโป๊ะแตกล่ะมั้ง ถึงไม่ยอมให้เขียนเลขตระกูลโม่ใส่ลงไปในกล่องสุ่ม
ไหหม่า (海馬)