ตอนที่ 65 แลกธนบัตรเป็นแท่งเงิน
อืม เขาต้องกินให้เร็วสักหน่อย หากคนพวกนี้นึกขึ้นได้ คงได้แย่งเขากินกันหมด
หนานหนานยิ่งคิด ความเร็วในการกินก็ยิ่งเร็วขึ้น เย่ซิวตู๋คีบให้เขาหนึ่งอย่างเขากินอีกอย่าง ไม่มีแม้แต่เวลาว่างแม้แต่น้อย
“กินให้มันช้าหน่อย เดี๋ยวก็สำลักหรอก” เย่ซิวตู๋ตบหลังเขา สายตามองประเมินร่างกายของหนานหนาน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าช่วงนี้เจ้าเด็กนี่ดูเหมือนจะอ้วนขึ้นเล็กน้อยแล้ว
อืม หากอวี้ชิงลั่วเห็นว่าบุตรชายของนางถูกเขาเลี้ยงดูจนอ้วน ๆ ขาว ๆ นางจะดีใจมากและอยู่ต่อหรือไม่?
“อันนี้อร่อย อันนี้ก็อร่อย” หลังจากหนานหนานกินไปสองสามจาน ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าตนเองกินเร็วเกินไป อีกเดี๋ยวคงได้ปวดท้อง แต่วางไว้ที่นี่ไม่ยอมกินก็น่าเสียดาย เขาหยุดชะงัก ยื่นหน้ากระซิบเสียงเบาข้างหูเย่ซิวตู๋ “ท่านลุงเย่ ข้าขอใส่ห่อกลับไปให้ท่านแม่กินด้วยได้หรือไม่?”
“…ย่อมได้” เขารับคำ แม้จะรู้สึกได้ว่าอวี้ชิงลั่วคงไม่ได้ยินดีปรีดาเท่าไรนัก
หนานหนานได้รับคำตอบที่แน่นอนจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากออกแรงกินไปอีกสองสามจาน ในที่สุดก็สั่งให้คนนำอาหารที่เหลืออยู่ไปใส่ห่อเพื่อนำกลับไปด้วยความพึงพอใจ
เย่หลานผิงและคนอื่น ๆ มองกันจนตาค้าง สายตาที่จ้องมองหนานหนานก็ดูราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด
เจ้าเด็กคนนี้อดอยากปากแห้งมาที่วันกี่คืนกันแน่? หรือว่าท่านลุงห้าจะปล่อยให้เขาหิวไม่ยอมให้กินอะไรมาโดยตลอด?
แต่ ต่อให้หิวมานาน ก็ไม่ควรจะกินมากขนาดนี้กระมัง ความอยากอาหารนี้…มากเกินไปแล้ว
“เอิ๊ก” หนานหนานส่งเสียงเรอ มองคนนี้ทีคนนั้นที จากนั้นจึงกระซิบข้างหูเย่ซิวตู๋ “ท่านลุงเย่ ท่านกินอิ่มหรือยัง?”
เย่ซิวตู๋วางตะเกียบช้า ๆ พยักหน้า “อืม”
“งั้น พวกเราไปกันเถอะ”
เย่ซิวตู๋เหลือบมองเย่หลานผิงปราดหนึ่ง ก่อนจะอุ้มหนานหนานขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่เดินเข้าใกล้ประตู จู่ ๆ เขาก็หยุดชะงักอีกครั้ง เขาหันมามองเย่หลานผิงที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม กล่าวว่า “เรื่องที่เจอข้าในวันนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่บอกใคร”
เย่หลานผิงพยักหน้ารัว ๆ “ท่านลุงห้าอย่าได้กังวลใจ ข้าจะไม่พูดเด็ดขาดขอรับ”
เย่ซิวตู๋จึงหมุนกายกลับอย่างพึงพอใจ และพาหนานหนานออกจากหอหลินสุ่ย
คนที่อยู่ภายในห้องพิเศษถอนหายใจอย่างโล่งอกในทันที เย่หลานผิงนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ด้วยเหงื่อที่ชุ่มทั้งตัว ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่กล่าวสิ่งใด
หยวนสือซับเหงื่อและเดินมาข้างเขาอย่างระมัดระวัง ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พี่…พี่รอง นั่นคือท่านลุงห้าของพี่จริงรึ คือคนนั้น คนที่อยู่ในข่าวลือ…”
เย่หลานผิงถลึงตามองเขาอย่างเหี้ยมโหด “ข้าจะจำผิดคนได้หรือ? บัดซบ เหตุใดท่านลุงห้าถึงได้ปรากฏตัวที่เมืองหลวงในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้?”
หยวนสือและคนอื่น ๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ต่างสบตากันและกัน ต่อให้ตอนนี้ท้องจะร้องจ๊อก ๆ ด้วยความหิว แต่ก็ไม่มีความอยากอาหารนั้นอีกแล้ว
ทันใดนั้น เย่หลานผิงก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง รีบวิ่งไปที่ข้างหน้าต่าง ก้มหน้ามองแผ่นหลังของผู้ใหญ่และเด็กคู่นั้นที่ค่อย ๆ หายลับจากสายตา มองไปยังทิศที่พวกเขาเดินทางออกไป คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากันไม่ยอมคลายออก
เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืด หันข้างเหลือบมองไปยังตำแหน่งชั้นสองของหอหลินสุยเล็กน้อย จากนั้นจึงพาหนานหนานเดินหน้าต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รถม้าของพวกเขาจอดอยู่ไม่ไหว หลังจากเย่ซิวตู๋อุ้มหนูน้อยขึ้นรถ จึงเริ่มออกเดินทางกลับจวนอย่างช้า ๆ
ภายในจวนมีคนใช้ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูนานแล้ว ตอนที่เห็นเขาลงมา ดวงตาพลันเป็นประกาย รีบส่งคนให้ไปรายงานท่านเสิ่นและคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหน้าลาน
“เสิ่นอิงกับคนอื่น ๆ มาถึงแล้วหรือ?” เย่ซิวตู๋อุ้มหนานหนานที่ผล็อยหลับไปหลังจากกินอิ่มลงมาจากรถ คนใช้ถึงกับตกตะลึง มองนายท่านด้วยความประหลาดใจ ระหว่างที่ก้มหน้าตอบกลับก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะอุ้มเด็กน้อย
เย่ซิวตู๋กลับเบี่ยงตัวออกห่างจากเขา “ไม่ต้อง ข้าอุ้มเองได้”
“ขอรับ” คนใช้รีบก้มหน้าลงและเดินนำทางให้เขา
“แม่นางอวี้ที่กลับมาพร้อมเสิ่นอิงเล่า?”
คนใช้ยิ่งเกิดความประหลาดใจ นายท่านกลับมาครานี้ไม่เพียงแต่นำแม่นางกลับมาสองคน บัดนี้ยังอุ้มเด็กน้อยอยู่ในอ้อมกอด อีกอย่าง ยังไม่ทันได้พักผ่อน ก็ไปสอบถามความเป็นมาของแม่นางอวี้ผู้เย็นชาผู้นั้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
“แม่นางอวี้ไปหลังจวนเพื่อรับประทานอาหารแล้วขอรับ บอกว่ารู้สึกเพลีย ท่านเสิ่นจึงจัดเตรียม…ห้องที่อยู่ด้านหลังห้องนายท่านเอาไว้ ตอนนี้น่าจะพักผ่อนอยู่ขอรับ”
เขาแอบลังเล นายท่านไม่ชอบให้ใครพักอาศัยอยู่ใกล้จวนมาก่อน การจัดเตรียมของท่านเสิ่นในครานี้ เขาเองก็แอบกังวลว่านายท่านจะโกรธเคือง
เย่ซิวตู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ “อืม เข้าใจแล้ว”
ระหว่างที่พูด ก็อุ้มหนานหนานกลับไปที่จวนของตนเอง
โม่เสียนและคนอื่น ๆ ทราบข่าวก็มารออยู่ด้านนอกห้องตำราของเขานานแล้ว จากนั้นจึงเดินตามเขาเข้ามาด้านใน เพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
เย่ซิวตู๋ทราบเรื่องโดยทั่วไปแล้ว หลังจากสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของอวี้ชิงลั่วเล็กน้อย ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
“นายท่าน ดูเหมือนว่าแม่นางอวี้จะไม่อยากอยู่ที่นี่นาน นางกล่าวว่าบาดแผลของเผิงอิงหายดีแล้ว รอหนานหนานกลับมา นางจะพาเขาออกไปจากที่นี่ขอรับ” เสิ่นอิงมองสีหน้าของเย่ซิวตู๋อย่างระมัดระวัง ก็พบว่ามุมปากของอีกฝ่ายแอบยกขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ภายในใจยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น
พวกเขาเองก็อยากให้แม่นางอวี้อยู่ต่อ แต่พวกเขาเคยเห็นความสามารถของแม่นางอวี้ระหว่างการเดินทางครั้งนี้แล้ว การบีบบังคับอาจทำให้เกิดผลตรงกันข้ามกับที่คาดหวัง
พวกเขาเองก็จนปัญญา จึงทำได้เพียงแค่รอให้นายท่านกลับมาตัดสินใจกับเรื่องนี้
โชคดีที่อีกฝ่ายเดินทางจากเจียงเฉิงมาเมืองหลวงแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้ห่างไกลเป็นพันลี้
เย่ซิวตู๋พยักหน้า นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเบา ๆ จ้องมองไปยังมุมหนึ่งบนชั้นวางหนังสืออย่างเงียบ ๆ
ตอนที่ทั้งสี่คนไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ในที่สุดเย่ซิวตู่ก็พูดขึ้นว่า “โม่เสียน เจ้านำตั๋วแลกเงินเหล่านี้ไปแปลงเป็นแท่งเงินให้หมด แล้วย้ายเข้าไปไว้ในคลังอย่างเงียบ ๆ”
โม่เสียนเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ มองดูกล่องเล็กใบนั้นที่นายท่านเปิดออก ด้วยความรู้สึกมึนงง
ในนั้นมีตั๋วแลกเงินหลายล้านตำลึง หากเปลี่ยนเป็นแท่งเงินทั้งหมด จะย้ายเข้าไปเก็บในคลังอย่างเงียบ ๆ ได้อย่างไรกัน?
“อะไรกัน ทำไม่ได้งั้นหรือ?” เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วมองเขา
โม่เสียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ พูดอย่างจริงจัง “นายท่านอย่าเป็นกังวล ก่อนค่ำจะมีคนนำเงินมาส่งขอรับ”
นายท่านคิดจะทำอะไร ตั๋วแลกเงินดี ๆ กลับยืนกรานจะเปลี่ยนเป็นแท่งเงิน แท่งเงินทั้งเปลืองพื้นที่และดูแลยาก อันตรายเป็นอย่างมาก
เพียงแต่แม้ว่าจะรู้สึกไม่เข้าใจ แต่ก็หอบกล่องเล็กใบนั้นออกจากห้องตำรา และหายออกไปด้านนอกอย่างเงียบเชียบ
เสิ่นอิงและเหวินเทียนหันสบตากัน ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทว่าจู่ ๆ ภายในใจก็ตระหนักขึ้นได้ว่าที่นายท่านทำเช่นนี้ ก็เป็นเพราะกำลังรับมือกับแม่นางอวี้
แม่นางอวี้ที่น่าสงสารยังนอนหลับไม่รู้วันรู้คืน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกนายท่านวางแผนใส่เข้าแล้ว
เฮ้อ หวังว่าหลังจากนางตื่นขึ้นมา นางคงไม่เหมารวมผู้บริสุทธิ์อย่างพวกเขาว่าเป็นผู้สมคบคิดกับนายท่านนะ
ถึงอย่างไร…คนที่ออกไปแลกตั๋วเงินก็มีแค่โม่เสียนเพียงคนเดียว
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ร้ายกาจมากนายท่าน สิบห้าล้านตำลึงในรูปแบบแท่งเงิน จะขนไปยังไงล่ะเนี่ย ก็เท่ากับว่าต้องอยู่ต่อน่ะสิ
โม่เสียนรับเละคนเดียวอีกแล้ว น่าสงสาร
ไหหม่า(海馬)