ตอนที่ 216 อ้วนเหมือนหมู
ตอนที่ 216 อ้วนเหมือนหมู
อวี้ชิงลั่วและหนานหนานเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ก็พบว่าเย่ซิวตู๋กำลังยืนพิงอยู่บนกำแพงห่างออกไปไม่ไกล ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะทอดมองมาที่พวกเขา
หนานหนานรู้สึกดีใจ จึงรีบสะบัดมือออกจากมือของอวี้ชิงลั่ว และวิ่งถลาเข้าหาเย่ซิวตู๋อย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านดีที่สุดเลย”
เย่ซิวตู๋โน้มตัวอุ้มหนานหนานขึ้นมา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันขณะหันมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอด “แต่หนานหนาน ดูเหมือนว่า…เจ้าจะหนักขึ้นจริง ๆ ด้วย”
ปู้ด…
หนานหนานตดออกมาอย่างไม่เกรงใจในทันที ทำให้อวี้ชิงลั่วที่กำลังก้าวเท้าเดินมาข้างหน้ารีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกและถอยหลังออกไป
เจ้าเด็กบ้าคนนี้ ในเมื่อเย่ซิวตู๋อยากจะอุ้มนัก…งั้นก็อุ้มไปเลยแล้วกัน
“แค่ก ๆ หนานหนาน ตอนเที่ยงเจ้าไปกินอะไรมาหรือ?” เย่ซิวตู๋กะพริบตาถี่ พยายามกลั้นหายใจสุดชีวิต
หนานหนานส่ายหน้าด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ไม่รู้สิ ข้ากินมาเยอะเลย แต่ท่านพ่อไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ไปขโมยใครนะ ใช้เงินท่านอาแปดจ่ายทั้งหมดเลย”
อวี้ชิงลั่วรู้สึกเห็นอกเห็นใจเย่ฮ่าวหรานอย่างมาก เกรงว่าระหว่างทางคงได้รับความทรมานจากหนานหนานไปไม่น้อย ทำให้เขาลำบาก…จริง ๆ กลับไปค่อยให้โอสถเม็ดใหญ่กับเขาเพื่อบำรุงร่างกายสักหน่อยก็แล้ว
อวี้ชิงลั่วแอบครุ่นคิด จนกระทั่งกลิ่นเหม็นหึ่งจางหายไปแล้ว นางจึงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ทั้งสองคนอีกเล็กน้อย ก่อนจะยกฝ่ามือตบป้าบเข้าที่ก้นของหนานหนาน แค่นเสียงเบา ๆ “ตอนนี้เรียกท่านพ่อเสียคล่องเชียวนะ”
อวี้ชิงลั่วรู้สึกไม่สบอารมณ์ แม้ว่าจะเป็นพ่อลูกกันแท้ ๆ แต่ท่าทางที่สนิทสนมกันเกินไปก็ทำให้นางไม่สบายใจอยู่ดี
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้ว ใช้แขนกอดหนานหนานที่กำลังลูบก้นด้วยท่าทางน้อยใจแน่น ๆ พร้อมกับหมุนตัว จากนั้นจึงกระซิบข้างหูเขาว่า “แม่ของเจ้าหวงแล้ว”
“ข้ารู้ ดังนั้นท่านพ่อปล่อยข้าลงเถอะ ข้าจะให้ท่านแม่อุ้ม”
อวี้ชิงลั่วถลึงตาใส่ทั้งคู่ด้วยใบหน้าดำทะมึน พวกเจ้าอยากคุยกันเงียบ ๆ ก็คุยไปเถอะ แต่ช่วยลดเสียงให้เบาลงเพื่อไม่ให้นางได้ยินไม่ได้เชียวหรือ? สภาพของนางดูเหมือนคนหูหนวกตาบอดหรืออย่างไรกัน?
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงจากลำคอดัง ๆ ขณะมองหนานหนานที่อ้าแขนทั้งสองข้างซึ่งดูคล้ายกับข้าวต้มมัดเพื่อให้นางอุ้ม ก็ปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่ได้หวง อุ้มไปเถอะ”
ครั้นกล่าวจบก็ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า
หนานหนานบุ้ยปาก มองเย่ซิวตู๋ด้วยท่าทางราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “ท่านพ่อ ดูเหมือนท่านแม่จะรังเกียจข้าแล้วจริง ๆ”
“…หนานหนานไม่อยากให้พ่ออุ้มเจ้ารึ?” เย่ซิวตู๋อยากจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม เพราะกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยคนนี้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าเขาจริง ๆ เขาจึงใช้แขนกอดร่างเล็ก ๆ ของหนานหนานไว้และก้าวเท้าเดินตามอวี้ชิงลั่ว
โม่เสียนขี่รถม้ามารอพวกเขาที่ปากซอยแล้ว ตอนที่เห็นหนานหนาน มุมปากจึงยกขึ้นเป็นเส้นโค้งอย่างควบคุมไม่อยู่ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เจอกันหลายวัน ดูเหมือนว่าหนานหนานจะอ้วนขึ้นเลยนะ”
“ท่านลุงโม่ วันนี้ข้าถูกโจมตีมาสามครั้งแล้วนะ” เกินไปแล้ว ท่านแม่ ท่านพ่อ รวมถึงท่านลุงโม่ ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาอ้วนแล้ว แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าอ้วน เขาเรียกว่าสมส่วนต่างหากล่ะ มีแค่คนที่ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นที่จะมีร่างกายมีน้ำมีนวล เฮอะ แต่ละคนช่างไม่มีความรู้ทางโลกเอาเสียเลย ไร้อนาคตสิ้นดี
หนานหนานดิ้นออกจากอ้อมกอดของเย่ซิวตู๋ลงมาด้านล่าง จากนั้นจึงแหวกม่านรถและปีนเข้าไปด้านในเพียงลำพัง เอนตัวนอนลงบนเบาะหนานุ่มแล้วเริ่มแสดงท่าทางงอนตุ๊บป่อง
โม่เสียนมองนายท่านของตนเองด้วยความสงสัย ก็พบว่ามุมปากของนายท่านมีรอยยิ้มและดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย ทว่าท่าทางที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มกลับดูคล้ายกำลังอดทนอดกลั้น
อวี้ชิงลั่วตบบ่าโม่เสียน กล่าวเตือนด้วยท่าทางเคร่งขรึม “หลังจากนี้ห้ามทักว่าหนานหนานอ้วนล่ะ”
หนานหนานหูผึ่งขึ้นมาในทันที มุมปากยกขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของท่านแม่เขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่านแม่รักเขาจริง ๆ ด้วยสินะ
“แต่เจ้าต้องบอกเขาไปตรง ๆ ว่าเขาอ้วนจนเหมือนหมูแล้ว หากยังกินไม่เลือกแบบนี้ต่อไป คงเกินเยียวยาแล้ว” อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า พูดด้วยท่าทางจริงจังอย่างมาก
“ท่านแม่ ข้าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว” เสียงโกรธเคืองของหนานหนานดังออกมาจากด้านในรถ ตามมาติด ๆ ด้วยเสียง ‘ปู้ด ๆ’ ดังลั่น เย่ซิวตู๋ที่เดิมทีกำลังจะแหวกม่านเพื่อเข้าไปด้านในรถก็ถึงกับร่างกายแข็งทื่อ รีบชะลอความเร็วลง จนกระทั่งกลิ่นเหม็นที่อยู่ด้านในนั้นกระจายออกไปแล้ว จึงเข้าไปนั่งข้าง ๆ หนานหนานพร้อมกับมุมปากที่กระตุกวูบ
หนานหนานนอนกางแขนฉีกขาอยู่ในรถม้า เด็กน้อยตัวเล็กผู้น่าสงสาร รถม้าก็ใหญ่ ต่อให้เขาอยากเอาคืนท่านแม่ด้วยการยึดรถม้านี้เพียงลำพัง ก็ครอบครองได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรอวี้ชิงลั่วก็ยังมีที่ให้นั่งอยู่ดี
“เฮอะ” หนานหนานเบือนหน้าไปด้านข้างอย่างไม่สบอารมณ์
อวี้ชิงลั่วพิงเข้ากับขอบประตูรถอย่างเกียจคร้านแล้วเงยหน้ามองเย่ซิวตู๋ “ท่านออกมาได้อย่างไร? มิใช่ว่าต้องจัดการกับเวยเยวี่ยนโหวหรือ?”
“ฝั่งนั้นมีเหวินเทียนกับเผิงอิงดูอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อีกอย่างรัชทายาทได้ยินคนแซ่เสิ่นพูดแบบนั้น คงไม่มีทางปล่อยเวยเยวี่ยนโหวแน่” เย่ซิวตู๋ดวงตาเป็นประกาย จ้องมองนางตาไม่กะพริบ
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว ช่วงนี้นางค้นพบว่าบุรุษผู้นี้ดูคล้ายกับจะชอบใช้สายตาเช่นนี้มองนาง ทุกครั้งที่อยู่กันสองต่อสอง เขามักจะใช้สายตาเร่าร้อนราวกับคิดจะหลอมนางให้ละลายเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่บุรุษผู้นี้เป็นคนเย็นชาและโหดร้าย จนแทบมิอาจมองตรง ๆ ได้
อวี้ชิงลั่วเบือนสายตา เลิกผ้าม่านรถมองไปยังคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้านนอก “ท่านให้เหวินเทียนไปกระซิบข้างหูคนแซ่เสิ่นว่าอะไรหรือ?”
“เหวินเทียนบอกเขาว่า หากเขาหาตัวการหลักออกมาได้ จะให้เขาเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น โทษหนักก็ผ่อนให้กลายเป็นเบาได้ ถึงอย่างไรเวยเยวี่ยนโหวก็ไม่ปล่อยเขาอยู่แล้ว มีความจำเป็นอะไรที่เขายังต้องช่วยอีกฝ่ายปิดบัง”
อวี้ชิงลั่วยิ้มเยาะ ตัวการหลัก? ผู้สมรู้ร่วมคิด? ตอนนั้นคนแซ่เสิ่นคงเพ้อเจ้ออยู่กระมัง เขาคิดว่าตนเองมีชีวิตอยู่ในสังคมยุคสมัยใหม่หรือ? ในสังคมศักดินาเช่นนี้ ผู้สมรู้ร่วมคิดและตัวการหลักหรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดก็ติดร่างแหถูกจับไปตัดหัวได้ทั้งนั้น ความผิดโทษฐานหลอกลวงเช่นนี้จะเปลี่ยนโทษหนักให้กลายเป็นเบาได้อย่างไรกัน?
เย่ซิวตู๋ผู้นี้โหดเหี้ยมจริง ๆ เขารู้ว่าตอนนั้นคนแซ่เสิ่นสติหลุดอย่างสมบูรณ์และไม่มีที่ว่างให้ไตร่ตรองแล้ว คำพูดเหล่านั้นของเหวินเทียนย่อมกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้เขาจับ เขาจึงรีบปีนตะกายขึ้นมาจนแทบจะทนรอไม่ไหว
ระหว่างที่อวี้ชิงลั่วกำลังเงียบขรึม ในที่สุดหนานหนานที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอนตัวจนเมื่อยและเงียบจนพอใจ เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง “เหตุใดพวกท่านถึงไม่คุยกับข้า?”
“เจ้าไม่สนใจแม่เองมิใช่หรือ?” อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง แอบคำนวณเวลาดูเหมือนยังไม่ถึงสามนาทีด้วยซ้ำ
“ข้าไม่พูดกับพวกท่าน พวกท่านก็ไม่คิดจะคุยกับข้างั้นหรือ? จริง ๆ เล้ย พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งนาน ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเข้มข้นขนาดนั้น พวกท่านเจอหน้าข้าไม่ตื่นเต้นจนน้ำตาไหลเลยรึ? หรือว่าไม่มีความคิดมากมายที่สะสมอยู่ภายในใจอยากบอกข้าเลยรึ? จริง ๆ เล้ย คิดไม่ถึงเลยว่าต้องให้ข้าเตือนพวกท่าน ช่างเถอะ ๆ ข้าจะให้อภัยพวกท่านสักครั้งก็แล้วกัน เอาล่ะ ข้าเตรียมพร้อมแล้ว พวกท่านรีบระบายออกมาเถอะ”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุก ก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างต่อ
หนานหนานชะงัก เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากนาง เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที จึงปีนขึ้นไปซบบนตัวอวี้ชิงลั่ว ใช้แก้มอ้วน ๆ ถูไถเข้ากับใบหน้าของนาง “ท่านแม่ดูอะไรอยู่ มา ๆ ข้างนอกไม่มีอะไรน่ามองหรอก มองใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานหนานดีกว่า”
หนานหนานพูดไปก็เบียดนางไปข้าง ๆ ทว่าตอนที่เขาเบียดไปได้สองครั้งจู่ ๆ ก็หยุดกึก สายตาจ้องมองไปยังคนคนหนึ่งที่เดินอยู่บนถนนใหญ่เพียงลำพังด้วยความประหลาดใจ
…………………………
สารจากผู้แปล
๕๕๕ กลิ่นผายลมของหนานหนานช่างมีพลังทำลายล้างสูงนัก ท่านพ่อถึงกับต้องชะงัก ขนาดผู้แปลอ่านแล้วยังรู้สึกขมคอเลยค่ะ
ใครเดินอยู่บนถนนกัน?
ไหหม่า(海馬)