ตอนที่ 268 จุมพิตที่ร้อนแรง
ตอนที่ 268 จุมพิตที่ร้อนแรง
แต่เมื่ออวี้ชิงลั่วเดินไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง จู่ ๆ นางก็ต้องหยุดชะงัก ขมวดคิ้วและยืนนิ่งอยู่กับที่
เยว่ซินโซซัดโซเซตามมา อีกเพียงแค่นิดเดียวก็เกือบจะชนเข้ากับอวี้ชิงลั่วอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อพบว่าคุณหนูหยุดอยู่กับที่ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “คุณหนู ที่ท่านอ๋องทำเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลแน่เจ้าค่ะ ท่านใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ ค่อย ๆ คุยกับท่านอ๋องนะเจ้าคะ”
ดูเหมือนว่าอวี้ชิงลั่วจะไม่ได้ยินเสียงของสาวใช้ นางขมวดคิ้วและกำผ้าเอาไว้แน่น ผ่านไปไม่นาน ก็เอ่ยพึมพำขึ้นมา “เจ้าพูดได้ถูก เย่ซิวตู๋ทำขนาดนี้แล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดบัญชีกับเขา เยว่ซิน! ! ”
“เจ้าค่ะ” เยว่ซินได้ยินเสียงเรียกจนดวงตาเบิกกว้างขึ้นมา นางจึงรีบก้าวออกมาข้างหน้า
“เจ้าสามารถปักดอกไม้ดอกนั้นเป็นแบบเดิมได้หรือไม่?”
เยว่ซินชะงักไป ปัก ปักมันออกมาหรือ? หญิงสาวจับผมด้วยความลำบากใจ “คุณหนู เยว่ซินช่างโง่เขลา ไม่สามารถปักมันออกมาได้ เพียงเหลือบมองแล้วรู้ว่าสีสันของมันนั้นสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก และต่างกับดอกไม้นี้…ข้าน้อยต้องขอโทษคุณหนูจริง ๆ เจ้าค่ะ…”
อวี้ชิงลั่วเข้าใจดี นางเพียงแค่จะกล่าวว่าคนที่จะสามารถบรรยายลักษณะของดอกไม้ดอกนั้นได้อย่างละเอียด ก็เห็นจะมีเพียงเย่ซิวตู๋ผู้เดียวเท่านั้น เบาะแสที่พบเพียงหนึ่งเดียวตอนนี้อยู่กับเย่ซิวตู๋ ดังนั้นจึงไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
อวี้ชิงลั่วขบฟันแน่น และในที่สุดนางก็หายใจเข้าลึก ๆ และหันไปมองยังห้องตำราของเย่ซิวตู๋
เยว่ซินตกตะลึง นางตบหน้าผากด้วยจิตใจที่สับสน จึงทำได้แค่เพียงเดิมตามไปอย่างหมดอาลัยตายอยากเท่านั้น
แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องตำรา เยว่ซินก็ไม่ได้มีความกล้าที่จะเดินเข้าไปในห้องกับคุณหนูของตน นางทำได้แค่เพียงหยุดอยู่บริเวณหน้าประตูเพียงเท่านั้น และจ้องมองประตูที่กั้นนางเอาไว้
เย่ซิวตู๋ยังนั่งอยู่ตรงหลังโต๊ะอย่างสงบพลางอ่านตำราที่อยู่ในมือ ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตการมาถึงของอวี้ชิงลั่ว
“ตุบ” อวี้ชิงลั่วโยนหน้าเช็ดหน้าใส่ด้านหน้าของชายหนุ่ม และใช้ฝ่ามือตบเข้าไปเพื่อให้ตำราปิดลง
“มีเรื่องอันใด?” เย่ซิวตู๋เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าตามปกติ จ้องมองแววตาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแต่กลับพยายามกดความรู้สึกเอาไว้ของหญิงสาว
“ท่านให้คนมาแก้ลายปักบนผ้าของข้า ใช่หรือไม่”
เย่ซิวตู๋ค่อย ๆ ฉีกยิ้มขึ้น “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านคงไม่ยอมรับ” อวี้ชิงลั่วไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด แต่กลับหายใจเข้าลึก ๆ และยิ้มออกมา “แต่การที่ท่านทำเช่นนั้น เป็นการดูถูกความคิดของข้าอย่างสิ้นเชิง”
“ความคิดอะไรกัน?”
อวี้ชิงลั่วดันผ้าเช็ดหน้าให้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น นางค่อย ๆ หรี่ดวงตาพลางยิ้มแย้ม “เดิมทีแล้วข้ารู้สึกว่าผ้าผืนนี้สวยงามเป็นอย่างมาก และไม่เหมือนกับของที่คนทั่วไปใช้กัน และสงสัยมาตลอดว่าของสิ่งนี้คงเป็นของจากในวัง แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น ทว่าตอนนี้ท่านกลับมาเปลี่ยนลายปักของข้า ทำให้ข้ามั่นใจว่าผ้าผืนนี้ต้องมาจากในวังเป็นแน่ มากไปกว่านั้นท่านคงเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ก็ต้องรู้จักแน่ ๆ ดูเหมือนกรอบของข้าจะเล็กลงมาแล้ว”
คิ้วของเย่ซิวตู๋กระตุกในทันที ให้ตายเถิด สตรีผู้นี้ช่างชาญฉลาดเสียจริง เขารู้ว่าต่อหน้านางตนไม่สามารถประมาทเลินเล่อได้เลย ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้กลับทำให้นางได้ประโยชน์ขึ้นมา
เพียงแต่ เมื่อนางรู้ว่าผ้าผืนนี้เป็นของคนในวังแล้วมันจะเป็นเช่นไรเล่า? ไม่มีลายปักอันก่อนแล้ว หากนางคิดที่จะตามหาก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย
“ท่านบอกกับข้ามา ว่าลายปักผ้าแบบนี้ท่านเห็นจากที่แห่งใด? ”อวี้ชิงลั่วกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด
เย่ซิวตู๋ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของหญิงสาวอย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก แต่มุมปากกลับเหยียดตรง และการแสดงออกยังคงไร้ชีวิตชีวาเช่นเคย “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
อวี้ชิงลั่วลุกยืนขึ้นและจ้องเขม็ง แค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “จะไม่บอกใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจะไปตรวจสอบด้วยตัวเอง”
เมื่อสิ้นเสียงของหญิงสาว นางก็คว้าผ้าเช็ดหน้าที่อยู่บนโต๊ะและหันหลังกลับไป
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วแน่น เมื่อผ่านไปได้สักพักจึงได้ออกจากประตูห้องไป และเอ่ยกับเสิ่นอิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “จับตาดูอวี้ชิงลั่วไว้”
“ขอรับ” เสิ่นอิงเพียงรู้สึกว่าใบหน้าของนายท่านนั้นดูไม่ดีเลย จึงได้รีบตามชายหนุ่มไป
แต่ทว่า เรื่องราวนั้นได้ก่อตัวเร็วกว่าเย่ซิวตู๋
เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นอิงก็วิ่งเข้ามาหาเย่ซิวตู๋ด้วยสีหน้ามืดมน และหายใจหอบอย่างหนัก “ท่านอ๋องขอรับ แม่นางอวี้ แม่นางอวี้เข้าวังไปแล้วขอรับ”
“อะไรนะ?”
“อวี้ชิงลั่วบอกว่าในเมื่อท่านอ๋องไม่บอกอะไร เช่นนั้นแล้วนางจึงต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเอง ดังนั้นเช้าวันนี้นางจึงได้เข้าวังไปแล้ว นางอ้างว่าจะไปตรวจร่างกายขององค์ชายเจ็ดอีกครั้งขอรับ ตอนนี้เกรงว่า…เหมิงกุ้ยเฟยจะส่งคนมารับนางเข้าไปแล้ว” เสิ่นอิงตำหนิตนเอง เขาเองก็ไม่ได้คาดว่าแม่นางอวี้จะกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ กล่าวคำไหนคำนั้น และนางก็เข้าวังไปจริง ๆ แล้ว
เสิ่นอิงเองคิดเพียงว่าแม่นางอวี้แค่พูดจาขบขัน เพื่อต้องการขู่นายท่านเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่านางจะทำขึ้นมาจริง ๆ
สีหน้าของเย่ซิวตู๋เปลี่ยนไป ชายหนุ่มรีบตรงไปยังคอกม้าและจูงม้าออกมา ควบขี่ตรงไปยังพระราชวัง
เสิ่นอิงจึงได้รีบตามนายท่านออกไป ใบหน้าของเขาเองก็ดูไม่ดีเช่นกัน
แต่เมื่อทั้งสองยังเข้าไปไม่ถึง และห่างจากประตูพระราชวังเพียงห้าสิบหมี่ ก็พบเข้ากับอวี้ชิงลั่วที่เอนกายอยู่ใต้ต้นไม้และโบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของเย่ซิวตู๋เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่ม้ายังคงวิ่งอยู่ เขาพลิกตัวลงจากม้าและตรงเข้าไปหาอวี้ชิงลั่วด้วยความโกรธเคือง
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว ใบหน้าที่ได้ใจของนางนั้นคาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับหนานหนานเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ครั้นเย่ซิวตู๋ใกล้เข้ามาจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มาได้รวดเร็วนัก ข้ายังไม่ทันจะ…อืม…”
อวิ้ชิงลั่งยังกล่าวคำพูดของนางไม่จบ เย่ซิวตู๋ก็ได้เข้าไปจูบนางอย่างดุเดือด
การกระทำของเขานั้นดูรุนแรงมาก เย่ซิวตู๋คว้านางไว้แน่นและกดนางไว้กับลำต้นของต้นไม้ และกัดริมฝีปากของนางอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก
เงาที่อยู่ห่างไปไกลนั้นมองดูอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็กลืนน้ำลายและมองดูรอบ ๆ ด้วยความกังวล โชคดีที่บริเวณตรงนี้ใกล้กับพระราชวัง ดันนั้นชาวบ้านทั่วไปจึงมักจะไม่มาแถวนี้ ทหารลาดตระเวนก็ยังไม่ได้มาลาดตระเวนบริเวณนี้ และโชคดีที่แม่นางอวี้นั้นยืนอยู่ในตำแหน่งที่มิดชิด ไม่เช่นนั้นทหารรักษาการณ์ตรงประตูพระราชวังก็คงจะเห็นท่านอ๋องซิวผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเฟิงชางกำลังจุมพิตกับสตรีอย่างดูดดื่ม
เสิ่นอิงได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจ ‘ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอร้องล่ะขอรับ อย่าให้ข้าน้อยต้องหัวใจจะวายเช่นนี้เลยได้หรือไม่? มีอะไรจะสนทนากันก็กลับตำหนักก่อน หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ คุยกันจะได้ไหมขอรับ?’
เวลานั้นเสิ่นอิงทำแค่รีบสำรวจไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
อวี้ชิงลั่วถูกเย่ซิวตู๋กัดริมฝีปากจนมีเลือดซึมออกมา นางรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากและต้องการจะดิ้นให้หลุด เพียงแต่เย่ซิวตู๋ที่อยู่ด้วยกันกับนางมาเป็นเวลานาน การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของอวี้ชิงลั่วก็สามารถทำให้เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจน ตอนนี้สองมือและสองเท้าของนางถูกปิดล้อมเอาไว้ทั้งหมด และการจุมพิตนั้นก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
อวี้ชิงลั่วไม่สามารถที่จะขยับได้ นางถูกชายหนุ่มขวางเอาไว้ด้านหน้า และด้านหลังก็เป็นต้นไม้ นางจึงทำได้แค่เพียงอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้ชายหนุ่มทำในสิ่งที่เขาปรารถนา
บริเวณไม่ไกลจากทั้งสองคน มีรถม้าคันหนึ่งได้หยุดลงอย่างเงียบ ๆ ม่านของรถม้าถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดของหลีจื่อฟาน และมองดูคนทั้งสองกอดรัดกันด้วยความตกใจ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องรุนแรงจังโว้ย ปากน้องแตกช้ำไปหมดแล้ว
เห็นภาพบาดตาบาดใจเข้าเสียแล้วท่านเสนาบดี
ไหหม่า(海馬)