ตอนที่ 269 ท่านเสียสติไปแล้ว
ตอนที่ 269 ท่านเสียสติไปแล้ว
เย่ซิวตู๋โอบกอดและจูบนางเป็นระยะเวลานานพอสมควร ก่อนจะคลายมือออกไปและหยุดการกระทำดังกล่าว
เมื่ออวี้ชิงลั่วได้รับอิสระ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปและจ้องมองเขาเขม็ง “เย่ซิวตู๋ ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”
“คนที่เสียสติก็คือเจ้า เจ้าไม่ชอบมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์และก็ไม่ชอบเข้าวังไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นแล้วตอนนี้เจ้ากำลังทำสิ่งใด?” เย่ซิวตู๋จับไหล่ของนาง ดวงตาทั้งสองข้างดูเย็นชา คำพูดแต่ละคำราวกับว่าจะกลืนกินอวี้ชิงลั่วเข้าไป
อวี้ชิงลั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และท่าทางเช่นนี้ของเย่ซิวตู๋ก็ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงผิดปกติ
หญิงสาวเงียบไป ในโสตประสาทตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองคนที่ดังปะปนคละเคล้ากันอยู่ ผ่านไปสักพัก นางจึงขมวดคิ้วและหันหน้าหนีก่อนจะบ่นพึมพำขึ้น “ท่านทำลายเบาะแสของข้าก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น”
“แต่การเข้าวังนั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับเจ้า”
“เฮ้อ เช่นนั้นแล้วท่านก็บอกข้ามาสิ ลายปักบนผ้าผืนนั้นท่านเคยเห็นมาจากที่ใด? ท่านบอกข้ามาสิว่าแม่นมเก๋อมีความสัมพันธ์กับผู้ใดในวัง? ฝ่าบาทหรือ? หรือว่าเหมิงกุ้ยเฟย?”
เย่ซิวตู๋หลับตาลง ผ่านครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงสูดหายใจลึก หลังจากนั้นก็ใช้นิ้วกดไปที่หลังคอของหญิงสาว อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว นางยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรออกมาก็หมดสติไปเสียแล้ว
ครั้นมองสตรีที่ดูราวจะเฉียบแหลมหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของตน เย่ซิวตู๋ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จึงโน้มตัวลงและอุ้มนางขึ้นมา
เสิ่นอิงที่อยู่ไกล ๆ นั้นสังเกตเห็น จึงรีบนำรถม้าคันที่อวี้ชิงลั่วโดยสารมายังพระราชวังรับชายหนุ่มขึ้นไป
เพียงเห็นอวี้ชิงลั่วที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของท่านอ๋อง เสิ่นอิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล
ตอนนี้นายท่านทำให้นางหมดสติแล้ว แต่ในไม่ช้า แม่นางอวี้ก็จะได้สติ พอถึงเวลานั้นนายท่านก็คงจะจับนางมัดไว้ตรงนั้น
ไหนจะริมฝีปากแตกยับของแม่นางอวี้อีก ท่านอ๋อง ท่านรุนแรงได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
เสิ่นอิงส่ายหน้า หลังมองนายท่านจัดท่าทางให้อวี้ชิงลั่วอยู่ในอิริยาบถที่สบายในอ้อมแขนของตนนั้น จึงได้ลดม่านลง
หลังจากนั้นเขาจึงขอให้คนขับรถม้านำม้าสองตัวของเขากับนายท่านกลับไปที่ตำหนัก ส่วนตนจะบังคับรถม้าเพื่อคุ้มกันเยว่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วกลับตำหนักเอง
รถม้าวิ่งอยู่บนถนน ผ่านไปไม่นานเสิ่นอิงจึงกุมบังเหียนแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยร้องเพื่อเร่งความเร็ว
เย่ซิวตู๋รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของรถม้าอย่างชัดเจน ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยและประคองศีรษะของอวี้ชิงลั่วอย่างระมัดระวัง และเอ่ยถามพลางกดน้ำเสียงลง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“นายท่าน เสนาบดีฝ่ายขวาตามมาแล้วขอรับ” เสิ่นอิงมองไปข้างหลัง รถม้าคันนั้นมาจากจวนของเสนาบดีฝ่ายขวา
เรื่องราวของนายท่านและแม่นางอวี้เมื่อสักครู่ ไม่น่าจะถูกเสนาบดีฝ่ายขวาพบเข้า
เย่ซิวตู๋ตกตะลึง รอยยิ้มบริเวณมุมปากเย็นชาเป็นอย่างมาก “เร็วขึ้นอีกนิด”
“ขอรับ” เสิ่นอิงรู้ดีว่าท่านอ๋องไม่กินเส้นกับเสนาบดีฝ่ายขวา และรู้ดีว่าหากเสนาบดีฝ่ายขวานั้นตามมาทันจะเกิดเรื่องยุ่งยากมากมาย ทันใดนั้นบังเหียนก็สะบัดอย่างรุนแรง และม้าก็ได้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
รถม้าที่ตามมานั้นดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ จึงได้เพิ่มความเร็วด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ม้าของเย่ซิวตู๋มีฝีเท้าไม่ธรรมดา ผนวกกับการบังคับม้าของเสิ่นอิง แน่นอนว่ารถม้าของหลีจื่อฟานจึงตามมาไม่ทัน
ผ่านไปไม่นาน ระยะห่างของรถทั้งสองจึงค่อย ๆ ห่างกันมากขึ้น
เสิ่นอิงเองก็ไม่รอช้า ไม่นานจากนั้นรถม้าก็มาหยุดที่บริเวณด้านหน้าของตำหนักอ๋องซิว
เย่ซิวตู๋อุ้มหญิงสาวลงมาจากรถม้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ และตรงไปที่เรือนของนาง
หนานหนานที่อาศัยอยู่ในตำหนักอ๋องไม่จำเป็นที่จะต้องตื่นเช้าเพื่อไปทักทายฮองเฮากับเย่หลานเฉิง เด็กชายยืดตัวบิดขี้เกียจพลางหาวในขณะที่ออกมาจากเรือน จึงพบเข้ากับท่านพ่อของตนที่กำลังอุ้มท่านแม่เข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้นหนานหนานก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ความรู้สึกง่วงงุนหายไปในพริบตา ประสาทสัมผัสทั่วร่างตื่นตัวราวกับได้รับการกระตุ้น ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาเย่ซิวตู๋ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าเป็นอะไร นางเป็นอะไรไป? ตายไปแล้วหรือ?”
“เหตุใดข้าจึงพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ ท่านลองดูสิว่าแม่ของข้านั้นยังขยับอยู่หรือไม่ ท่านพ่อว่า ผู้ใดเป็นคนทำให้นางเป็นเช่นนี้? และตอนนี้มันผู้ที่ลงมือทำอยู่ที่ใดแล้ว ข้าจะไปแก้แค้นให้ท่านแม่” หนานหนานพับแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางที่ดูน่าเกรงขาม
เย่ซิวตู๋สาวเท้าเร็วขึ้น และทิ้งให้หนานหนานอยู่ด้านหลัง
หนานหนานถึงกับงอแง เสียงของเด็กชายค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนดึงดูดเย่หลานเฉิงและอวี้เป่าเอ๋อร์ที่กำลังศึกษาตำราอยู่ในห้องให้สนใจขึ้นมา
ทั้งสองมองหน้ากัน และตรงดิ่งเข้าไปถามไถ่กับหนานหนาน
หนานหนานตบต้นขาด้วยความโมโห “ท่านแม่ของข้าถูกคนทำร้าย ข้าจะไปจัดการมันเพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่”
เย่หลานเฉิงและอวี้เป่าเอ๋อร์ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าของทั้งสองซีดเซียว โดนทำร้ายเช่นนั้นหรือ?
เกิดอะไรขึ้น? นางเป็นสตรีที่เก่งกาจ เหตุใดจึงมีคนทำร้ายนางได้?
ทั้งสองคนไม่ได้ปักใจเชื่อ จึงคิดที่จะดึงหนานหนานไว้แล้วถามให้ชัดเจน แต่เมื่อหันกลับไปมอง หนานหนานก็ได้วิ่งตามเย่ซิวตู๋ไปแล้ว
เด็กทั้งสามคนนั้นจึงได้รีบวิ่งตามเข้าไป แต่แล้วก็ได้ยินเย่ซิวตู๋ตะโกนเสียงดังเกรี้ยวกราดขึ้น “ออกไปให้หมด!”
“ออกไป ออกไป พวกเจ้าทั้งสองออกไปก่อน ข้าจะรักษาท่านแม่” หนานหนานรีบโบกมือให้กับเย่หลานเฉิงและอวี้เป่าเอ๋อร์ที่ตามมาจากข้างหลัง
ทั้งสองคนมองหน้ากัน ต่างไม่ได้ยินสิ่งที่หนานหนานเอ่ย เพียงแต่สีหน้าของเย่ซิวตู๋ในตอนนี้ดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก พวกเขายังต้องรวบรวมความกล้าในการเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แต่เมื่อได้ยินเสียงของเย่ซิวตู๋ ก็ทำได้แค่เพียงถอยออกจากห้องไปอย่างเชื่อฟัง
ถึงอย่างนั้นภายในใจก็ยังคงกังวลเรื่องของอวี้ชิงลั่ว จึงไม่กล้าเดินไปไหนไกล เลยต้องแอบมองลอดผ่านช่องว่างของประตู
หนานหนานถลกแขนเสื้อเผยลำแขนอวบขาวราวรากบัว ท่าทางดูราวกับเป็นแพทย์ตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เย่ซิวตู๋เกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของหนานหนาน เพียงแต่อาการปวดหัวได้มาหยุดชายหนุ่มเอาไว้ก่อน “หนานหนาน แม่ของเจ้าถูกข้าสกัดจุดเพียงเท่านั้น เมื่อตกกลางคืนนางก็จะตื่นขึ้นมา”
“หื้ม? ท่านเป็นคนทำหรือ? ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงต้องทำท่านแม่ด้วย?”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว ชายหนุ่มไม่สามารถอธิบายเรื่องซับซ้อนวุ่นวายกับเด็กชายได้ เพียงมองเด็กน้อยกะพริบตาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็ทำได้แค่กระแอมไอและเอ่ยขึ้นเบา ๆ “แม่ของเจ้าตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ ข้าเห็นนางไม่มีสติและไร้เรี่ยวแรง มีเพียงแค่วิธีนี้ที่จะทำให้นางได้พักผ่อนสักครู่”
หนานหนานรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย คนขี้เกียจอย่างท่านแม่หรือจะสามารถตื่นได้เช้าขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่านางจะเสียสติไปแล้ว?
“ท่านพ่อ”
ขณะที่ความคิดวุ่นวายของหนานหนานได้รับการแก้ไข เสียงแหบแห้งอันเป็นเอกลักษณ์ของพ่อบ้านหยางก็ดังขึ้นนอกประตู “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวามาหาขอรับ”
“หืม เขาตามมาจริง ๆ ด้วย” การแสดงออกของเย่ซิวตู๋นั้นกลับมาเย็นชาอีกครั้ง และดูเหมือนจะเย็นชากว่าก่อนหน้านี้เสียด้วย
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รุนแรงไปไหมพ่อ กัดแม่ปากแตกเยินขนาดนั้น
มีเรื่องต้องสะสางปัญหาหัวใจแล้วสิท่านอ๋อง ศัตรูหัวใจมาถึงที่เลย
ไหหม่า(海馬)