ตอนที่ 365 สถานะของหนานหนาน
ตอนที่ 365 สถานะของหนานหนาน
ท่ามกลางความเงียบภายในลานประลอง จู่ ๆ เสียงหนานหนานที่ตะโกนเรียกท่านพ่อก็ดังขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทว่าดังชัดเจน
ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว มองไปตามสายตาของหนานหนาน
ท่านพ่อ? พ่อของเด็กคนนั้น…อยู่ในกลุ่มพวกเขา?
ทุกการเคลื่อนไหวภายในวังล้วนเป็นข่าวที่เหล่าขุนนางต่างกระตือรือร้นที่จะสืบค้น ทุกคนต่างทราบเรื่องที่ข้างกายของเฉิงซื่อจื่อมีสหายอยู่คนหนึ่ง ทว่าไม่มีใครรู้ถึงสถานะของสหายผู้นี้ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดว่า เขาเป็นแค่สหายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง สถานะเป็นเช่นไรมิได้มีความสำคัญ
ทว่าในเวลานี้ เขากลับคว้าชัยจากการแข่งวรยุทธ์นองเลือดมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นเด็กวัยห้าขวบที่สู้กับผู้เข้าแข่งขันวัยสิบขวบสองคน สิ่งนั้นยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึงและชื่นชม เกรงว่าอนาคตของเด็กคนนี้คงไร้ขีดจำกัดเสียแล้ว
ทุกคนจึงเกิดความปรารถนาที่จะทราบสถานะของเด็กคนนั้นมากยิ่งขึ้น
เด็กชายคนนั้นกำลังตะโกนเรียกท่านพ่อภายในสถานที่ที่พวกเขาอยู่ เช่นนี้ก็หมายความว่า พ่อของเด็กคนนี้ก็เป็นขุนนางเช่นกัน?
ใครกัน? ใครที่อยู่ในกลุ่มพวกเขา? ใครที่เป็นพ่อของเด็กคนนี้?
มีคนจำนวนมากใช้สายตาจับจ้องไปยังแม่ทัพไม่กี่คนเหล่านั้น พวกเขาคิดว่าคนที่สามารถสอนเด็กให้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าทั้งยังไร้ ‘มารยาทและกฎเกณฑ์’ ได้ คงเป็นพวกไร้การศึกษาเหล่านั้น
เพียงแต่ หากเป็นบุตรชายของคนไร้การศึกษา ฮ่องเต้จะมีพระบรมราชานุญาตให้เขาเข้าไปเป็นสหายเล่าเรียนวิชากับเฉิงซื่อจื่อได้หรือ?
ขุนนางเหล่านั้นคิดไม่ตก รัชทายาท องค์ชายสามและคนอื่น ๆ ยิ่งขมวดคิ้วมุ่น ภายในใจกำลังตรึกตรองถึงตัวเลือก ทว่าเด็กที่อยู่ในตระกูลใหญ่เหล่านั้น พวกเขาต่างก็รู้จักกันหมด จึงเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันสถานะของเด็กคนนี้ได้
เย่ซิวตู๋แย้มยิ้มมุมปาก ไม่ได้กล่าวสิ่งใด หนานหนานตื่นเต้นเกินไปแล้ว ถึงได้ตะโกนเรียกตนเองว่าท่านพ่อภายในสถานที่เช่นนี้
อืม ชนะการแข่งขัน กลับไปก็ควรจะมอบของขวัญเพื่อเป็นรางวัลให้เขาสักหน่อย
ทางนี้เพิ่งจะครุ่นคิด จู่ ๆ หนานหนานกลับหมุนกายออกแรงโบกมือไปทางฝั่งสุภาพสตรีอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าชนะแล้วนะ ท่านรับปากแล้วว่าหากข้าชนะจะมอบเงินให้ข้า”
“…” อวี้ชิงลั่วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเงียบ ๆ สำหรับปัญหาเรื่องเงินนั้น… กลับถึงตำหนักแล้วค่อยปิดประตูคุยกันมิได้เชียวรึ?
“ท่านแม่? เด็กคนนั้นมองมาทางพวกเราด้วย” เย่หว่านเยียนมีใบหน้างุนงง ก่อนจะหันกลับมากวาดสายตามองสุภาพสตรีทั้งหมดรอบหนึ่ง ขมวดคิ้วกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “แม่นางชิง เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายของฮูหยินคนใดกัน?”
“เหอะ ๆ เรื่องนี้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” อวี้ชิงลั่วยิ้มเจื่อน แกล้งทำเป็นตายต่อไป เมื่อเห็นเย่หว่านเยียนยังใช้สายตาแผดเผาจ้องมองตนเอง นางจึงกระแอมไอเบา ๆ นั่งตัวตรงกล่าวว่า “ท่านก็ลองมองดู ใครที่แสดงอาการตื่นเต้นแตกต่างจากผู้อื่น คาดว่าก็คงเป็นคนคนนั้น”
เย่หว่านเยียนได้ฟังเช่นนี้ จึงหันหน้ากลับไปอีกหน กวาดตาสำรวจทุกคนอย่างละเอียดอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงหันกลับมาอย่างเงียบเชียบ ขยับเข้ามากระซิบข้างหูอวี้ชิงลั่ว “ข้าว่าการแสดงออกของฮูหยินเหล่านั้นไม่ค่อยแตกต่างกันนัก มีก็แต่ไทเฮาที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ”
ไทเฮา? อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว ร่างกายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย เหลือบมองไปฝั่งนั้น ใบหน้าพลันเกิดเส้นสีดำ สีพระพักตร์ของไทเฮาตื่นเต้นที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าสีพระพักตร์เต็มไปด้วยความสงสัยและครุ่นคิดต่างหากเล่า
ตอนนี้ไทเฮาคงกำลังตรึกตรองว่าแท้จริงแล้วท่านแม่ของหนานหนานคือผู้ใดกันแน่
เด็กคนนี้มักทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา บัดนี้ทั่วอัฒจันทร์เต็มไปด้วยเสียงซุบซิบพูดคุย มีคนจำนวนมากที่เกิดความสงสัยเกี่ยวกับสถานะของเด็กผู้มีฝีมือเก่งกาจจนน่าประหลาดผู้นี้
ฮ่องเต้ก็เช่นเดียวกัน ทว่าพระองค์รู้เรื่องนี้มากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เพราะพระองค์รู้ว่าพ่อของหนานหนานคือซิวเอ๋อร์ ส่วนแม่…
คนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งสุภาพสตรีนั้นล้วนแล้วแต่เป็นฮูหยินจากแต่ละจวน และเหนียงเหนียงภายในวัง สตรีเพียงคนเดียวที่ซิวเอ๋อร์พาเข้ามาก็คือแม่นางชิงหมอปีศาจ หนานหนานตะโกนเรียกท่านแม่ไปทางฝั่งที่นั่งสุภาพสตรี หรือว่า แม่นางชิงผู้นั้นคือ…สตรีที่วันนั้นซิวเอ๋อร์อุ้มออกจากคุกภายในวัง? นางคือแม่ของหนานหนาน?
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเพียงไม่นานก็เก็บความคิดกลับคืนมา ทอดพระเนตรไปทางหนานหนานที่ยืนอยู่บนลานประลอง ก่อนจะพยักพระพักตร์ให้กรรมการฝั่งนั้น
เมื่อกรรมการเห็นเช่นนี้จึงกระโดดขึ้นบนลานประลองทันใด ยกมือขวาของหนานหนานขึ้นพลางส่งเสียงว่า “ผู้คว้าชัยในการแข่งวรยุทธ์ครั้งนี้คือผู้เข้าแข่งขันวัยห้าขวบของอาณาจักรเฟิงชาง…อวี้ฉิงหนาน”
สิ้นสุดเสียงจากกรรมการ เสียงโห่ร้องไชโยพลันดังขึ้น
สนามแข่งขันทั้งสองสนามของอาณาจักรเฟิงชางในวันนี้ทำได้งดงามยิ่ง สร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้เข้าแข่งขันของอาณาจักรเฟิงชางทุกคน ทั้งยังทำให้ผู้คนเกิดความตื่นเต้นยิ่งนัก
เพียงแต่ผู้เข้าแข่งขันของอาณาจักรหลิวอวิ๋น อาณาจักรจิงเหลย และอาณาจักรเทียนอวี่ กลับจ้องมองผู้เข้าแข่งขันเหล่านั้นที่ถูกเตะลงมาจากลานประลองด้วยสายตาราวกับเกลียดชังที่มิอาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า
ลู่หม่านและคนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น คิดไม่ถึงว่าเด็กที่ถูกทุกคนดูหมิ่นมากที่สุดในช่วงแรกเริ่ม กลับมีฝีมือที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกเช่นนี้ เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาลงมาจากลานประลอง ก็ได้เห็นฝีมืออันแข็งแกร่งและรวดเร็วของเด็กคนนั้นแล้ว
ต่อให้ไม่มีวิชาฝ่าเท้าของตระกูลลู่ หนานหนานก็สามารถเอาชนะทุกคนได้อย่างง่ายดาย
หยางหลินผู้เข้าแข่งขันอีกคนหนึ่งของอาณาจักรเฟิงชาง บัดนี้นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นยังไม่คืนสติกลับมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนั้นจะเก่งกาจเช่นนี้ ฝีมือและความเร็วนั้น ไม่คล้ายกับสิ่งที่เด็กในวัยห้าขวบจะมีได้
ต่อให้มีพรสวรรค์สูงกว่านี้ ก็คงไม่มีฝีมือเช่นนี้หรอกกระมัง
นี่…นี่มันอัจฉริยะแห่งวิทยายุทธ์ชัด ๆ เขานี่มีตาแต่ไร้แววจริง ๆ ถึงได้มองคนผิดไป
ทุกคนเกิดความคิดซับซ้อน ซ่างกวนจิ่นยิ่งมีสีหน้ามืดหม่นเข้าไปใหญ่ เด็กวัยสิบขวบทั้งสองคนต่างเป็นผู้มีวิทยายุทธ์โดดเด่น หนึ่งในนั้นแอบซ่อนงูพิษไว้ด้านในหนึ่งตัว ทว่ากลับสู้เด็กวัยห้าขวบไม่ได้ ทำให้อาณาจักรจิงเหลยของพวกเขาเสียหน้าโดยแท้
การแข่งขันช่วงบ่ายได้สิ้นสุดลงแล้ว ซ่างกวนจิ่นกราบทูลลาฮ่องเต้ ก่อนจะออกจากสนามแข่งขันไปด้วยสีหน้าทะมึน
ฮ่องเต้เองก็มิได้สนพระทัย อาณาจักรเฟิงชางชนะการแข่งขันติดต่อกันถึงสองสนาม โดยเฉพาะหนานหนาน เห็นได้ชัดว่าทำให้ทั้งสนามประหลาดใจ ผู้เข้าแข่งขันและผู้ชมที่ดูถูกเขาเหล่านั้นถึงกับตกตะลึง พากันกล่าวชื่นชมจนทำให้พระองค์มีความสุขยิ่งนัก
หากเป็นไปได้ ฮ่องเต้ก็อยากจะขวางตรงหน้าทุกคน บอกทุกคนให้รู้ว่า เด็กที่มีความสามารถเช่นนี้คือพระนัดดาแท้ ๆ ของพระองค์
ส่วนสีหน้าของซ่างกวนจิ่นเป็นเช่นไร ฮ่องเต้ทรงทราบแล้ว ทว่ากลับทำเป็นเพิกเฉย พระองค์ได้จัดงานเลี้ยงขึ้นภายในวัง โดยเชื้อเชิญอาณาจักรหลิวอวิ๋นและเทียนอวี่ให้มาเข้าร่วมด้วย
เย่ซิวตู๋ไม่ได้สนใจงานเลี้ยงเช่นนี้ หลังจากจบการแข่งขัน เขาก็สั่งให้คนไปรับอวี้ชิงลั่ว เดินทางกลับตำหนักอ๋องซิวอย่างเงียบ ๆ
พวกเขายังต้องคุยกับหนานหนานเกี่ยวกับกฎของการแข่งขันการละเล่นชู่จวีในอีกสองวันหลังจากนี้ นั่นเป็นการแข่งขันแบบหมู่ หนานหนานเป็นคนยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด คำว่า ‘ร่วมมือ’ สองพยางค์นี้ ไม่เคยมีอยู่ในสมองของเขาเลย
อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีใครคาดคิดว่าสนามการแข่งขันเล่นชู่จวีสองวันหลังจากนี้จะมีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น จนทำให้ทุกคนถึงกับประหลาดใจและตะลึงงัน
ขณะที่อวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋กำลังอธิบายให้หนานหนานฟัง กลับมีคนหนึ่งที่ถึงกับตกใจจนริมฝีปากขาวซีด เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานจะทำพ่อกับแม่โป๊ะหรือเปล่านะ ตะโกนซะดังเลย
ไหหม่า(海馬)