อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] – ตอนที่ 399 นางคือหญิงมั่วโลกีย์

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

ตอนที่ 399 นางคือหญิงมั่วโลกีย์

ตอนที่ 399 นางคือหญิงมั่วโลกีย์

อวี้เป่าเอ๋อร์ชะงักขณะถูกนางผลักให้ถอยออกไปสองสามก้าว ตอนที่เดินมาหยุดตรงหน้านางข้าหลวงน้อยที่เพิ่งพูดขึ้นเมื่อครู่ นางข้าหลวงน้อยคนนั้นก็ย่อตัวลง ยกมือขึ้นมาป้องหูของเขา

“จวิ้นอ๋องน้อย หม่อมฉันมีนามว่าหงเย่ หลังจากนี้หม่อมฉันจะดูแลท่านเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”

อวี้เป่าเอ๋อร์แอบมึนงงเล็กน้อย ใบหูของเขาถูกนางป้องไว้ ทำให้เขาไม่ได้ยินว่านางพูดสิ่งใด ทว่าตอนที่เห็นรอยยิ้มที่สดใสของนาง จึงพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ

หงเย่แย้มยิ้ม ยังคงป้องหูของเขา ไม่ยอมให้เขาได้ยิน

ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งประธานหรี่พระเนตรพลางแย้มพระสรวล นางข้าหลวงและแม่นมผู้ปรนนิบัติองค์หญิงเทียนฝูทั้งสองคนนี้ ดูเหมือนจะมีความกล้าหาญยิ่งนัก ถือเป็นคนที่มีความระมัดระวังอย่างรอบด้าน

อวี้เจี้ยนต๋าไร้ซึ่งคนช่วยเหลือ จึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าร้องไห้น้ำตานองด้วยความเศร้าโศก ในใจรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เหตุใดเรื่องราวถึงได้กลายเป็นเช่นนี้?

ชิงลั่วกลายเป็นองค์หญิงของอาณาจักรเทียนอวี่ เป่าเอ๋อร์กลายเป็นจวิ้นอ๋องน้อย เหตุใดคนที่พวกเขาทั้งคู่ต้องการเล่นงานและทุบตีคือสองแม่ลูกเฉินจีซิน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน มันตกมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร

อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก มาจนถึงตอนนี้ ในใจของอวี้เจี้ยนต๋าก็ยังลำเอียงไปทางสองแม่ลูกเฉินจีซิน ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็รับรู้ว่าอวี้เป่าเอ๋อร์ได้รับความอยุติธรรมมากมายเช่นนั้น ถูกกักขังหลายปีเช่นนั้น แต่ในท้ายที่สุดแม้แต่ปล่อยให้เฉินจีซินถูกลงโทษด้วยการตบเพียงไม่กี่ฝ่ามือ เขากลับทำใจไม่ได้

โชคดีที่ตอนนี้เป่าเอ๋อร์มาอยู่ข้างกายนางแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าต่อให้รับความอยุติธรรมมากกว่านี้ ถูกทำร้ายมากกว่านี้ ก็มิอาจเอาคืนได้

“ท่านแม่…ท่านแม่…” ขณะที่ทุกคนมีความคิดแตกต่างกัน จู่ ๆ ก็เกิดเสียงร้องด้วยความตื่นตกใจของอวี้ชิงโหรว

ทุกคนจึงได้สติกลับมาและหันมองไปยังคนที่กำลังคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรง ทว่ากลับพบว่าเฉินจีซินถูกตบจนแก้มทั้งสองข้างห้อเลือดจนกระทั่งจำหน้าตาไม่ได้ ตอนนี้ร่างกายเริ่มซวนเซวูบไหวราวกับกำลังจะเป็นลมหมดสติในเวลาอันรวดเร็ว

ท้ายที่สุด มือของแม่นมเซียวก็หยุดลง นางสะบัดข้อมือพลางพูดกับอวี้ชิงลั่วด้วยท่าทางราวกับยังไม่สาแก่ใจ “ช่างเป็นบุคคลที่หน้าหนาเสียเหลือเกิน”

ตบตีมาจนถึงตอนนี้กลับทำได้แค่ห้อเลือด เหนื่อยเสียจนแขนและขาชราของนางเริ่มปวดเสียแล้ว

อวี้ชิงลั่วเงยหน้ามองคานของท้องพระโรงอย่างเงียบ ๆ แม่นมเซียว อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นนะว่าท่านแอบถือหนังวัวชิ้นนั้นอยู่ในมือ ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากตบตีอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เห็นนางตะโกนว่าเจ็บมือ คราวแรกคิดว่านางคงทุบตีจนมากประสบการณ์ มาตอนนี้จึงได้รู้ว่านางทำการบ้านมาก่อนแล้ว

เฉินจีซินยังไม่เป็นลมหมดสติ นางรู้สึกปวดแก้มอย่างรุนแรง ทั้งใบหน้าถึงกับชาดิก บวมเป่ง รู้สึกทรมานอย่างมาก

แม้นางจะมีต้นกำเนิดแสนธรรมดา แต่ก็ไม่เคยถูกทำโทษเช่นนี้มาก่อน นางถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกเจ็บแค้นถึงขีดสุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

แม่นมเซียวพักอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าแขนผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว นางจึงหันหน้าไปพูดเคล้ารอยยิ้มกับอวี้ชิงโหรวว่า “ตบเสร็จไปหนึ่ง ยังเหลืออีกหนึ่ง”

อวี้ชิงโหรวถึงกับตกใจ นางปล่อยมือที่กำลังประคองไหล่ของเฉินจีซินโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเฉินจีซินยืนไม่มั่นคง จึงล้มหงายหลังในทันที

อวี้ชิงโหรวได้สติกลับคืนมา รีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างระมัดระวังอีกหน ทว่าตอนที่ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หูของเฉินจีซิน นางกลับส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุม “ท่านแม่…ข้ากลัว…ข้ากลัว…ท่านแม่…”

เฉินจีซินอ้าปาก คิดอยากพูดปลอบใจนาง ทว่าแค่ขยับปากนางก็รู้สึกถึงความเจ็บร้าวที่แล่นเข้าไปในสมอง มิอาจเปล่งเสียงออกมาจากลำคอได้

แม่นมเซียวก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว ยกฝ่ามือขึ้น ก่อนจะมีเสียง ‘เพียะ’ ดังตามมาติด ๆ

ใบหน้ารูปไข่อันประณีตงดงามของอวี้ชิงโหรวบวมเป่งภายในพริบตา

แม้จะสั่งสอนเฉินจีซินไปยกหนึ่งแล้ว ทว่าแรงตบของแม่นมเซียวกลับไม่แผ่วลงแม้แต่น้อย อวี้ชิงโหรวรู้สึกได้ถึงความปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า น้ำตาที่จากเดิมเอ่ออยู่บริเวณขอบตา ถึงกับไหลออกมาในทันที

เสียงฝ่ามือดัง ‘เพียะ ๆๆๆ’ ติดต่อกันสี่ครั้ง ตบจนอวี้ชิงโหรวถึงกับหน้าหัน ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

อวี้เจี้ยนต๋ารู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเมื่อครู่ ทว่าตอนที่เงยหน้าขึ้นกลับประสานเข้ากับสายตาเย็นชาของท่านอ๋องซิว แรงกดดันนั้นทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก

เฉินจีซินรู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก นางคิดจะยื่นมือออกไปห้ามอยู่หลายหน ทว่าบริเวณแก้มพลันเกิดอาการเจ็บตึง ทำให้นางหยุดมือในทันที

ฮูหยินใหญ่ตระกูลอวี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจจนศีรษะแตะลงบนพื้นแล้ว มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนพื้นถึงกับสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจอย่างมากว่าเหตุใดตนถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ นางรู้สึกเสียใจเพราะเหตุใดต้องต่อต้านอวี้ชิงลั่ว และยิ่งรู้สึกเสียใจว่าเหตุใดถึงได้เชื่อคำพูดของหลี่หรานหร่าน

ตอนนี้นางไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย หลี่หรานหร่านถูกไม้ตะบองทุบตีจนตายไปแล้ว สองแม่ลูกตระกูลอวี้ก็ถูกตบจนจำใบหน้าไม่ได้

เช่นนั้น…คนถัดไป จะเป็นนางหรือไม่?

ครั้นนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ฮูหยินใหญ่ตระกูลอวี๋ก็ถึงกับใจสั่นสะท้าน นางช้อนสายตามองอวี๋จั้วหลินอยู่หลายหน ฝากความหวังสุดท้ายไว้ที่บุตรชายของตนเอง หวังว่าเขาจะคิดหาวิธีเพื่อช่วยตระกูลอวี๋ ขอแค่ไม่เจอจุดจบเช่นเดียวกับสองแม่ลูกเฉินจีซินก็พอแล้ว

ทว่าสายตาของอวี๋จั้วหลินกลับยังคงจ้องมองอวี้ชิงลั่วตั้งแต่ต้นจนจบ

เขาไม่เชื่อว่านางคือองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่อะไรนั่น ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว

หากนางมิใช่อวี้ชิงลั่ว เช่นนั้นเพราะเหตุใดจึงต้องหาทางเข้าใกล้เขา เพราะเหตุใดต้องเข้าใกล้ตระกูลอวี๋? เพราะเหตุใดต้องพาตัวเยว่ซินไป และเพราะเหตุใดจึงได้ทำดีกับอวี้เป่าเอ๋อร์ขนาดนี้? อีกอย่าง นางยังมีความเกลียดชังต่อสองแม่ลูกเฉินจีซินและหลี่หรานหร่านมากขนาดนี้

นางคืออวี้ชิงลั่ว สตรีผู้ที่ถูกตนเองโยนทิ้งไว้ในวัดร้างให้อยู่กับขอทานเมื่อหกปีก่อน

สตรีผู้นี้มิได้มีร่างกายสมบูรณ์มาตั้งนานแล้ว ท่านอ๋องซิว…จะต้องการหญิงมั่วโลกีย์ได้อย่างไรกัน?

แม้ว่า…หญิงมั่วโลกีย์ผู้นี้จะดูดีอย่างน่าประหลาด

จิตใจของอวี๋จั้วหลินเริ่มรวนเรอีกครั้ง เมื่อหกปีก่อนเขายังไม่ทันได้เห็นรูปร่างหน้าตาของสตรีผู้นี้อย่างชัดเจน ไม่ถูกสิ บางทีอาจเห็นชัดแล้ว แต่อวี้ชิงลั่วเมื่อหกปีก่อนมีใบหน้าเหลืองซีด ผอมกะหร่องก่อง ดวงตาหมองหม่น ไม่เหมือนกับในเวลานี้ที่ผิวพรรณขาวกระจ่างใสรูปร่างงดงาม ทั้ง ๆ ที่นางก็อายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีแล้ว ทว่ากลับดูคล้ายดรุณีวัย 17-18 ก็มิปาน

นาง…งดงามมากจริง ๆ งดงามกว่าหลี่หรานหร่านไม่รู้ตั้งเท่าไร เมื่อหกปีก่อน เหตุใดเขาจึงเลือกหลี่หรานหร่าน และผลักสตรีเช่นนี้ออกไปกันเล่า? ตอนนั้นผีบังตาหรืออย่างไรกัน?

อวี๋จั้วหลินยิ่งคิด ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ เขาอยากให้อวี้ชิงลั่วตายไปเสีย ทว่าเขาก็มีความคิดอยากให้นางเป็นภรรยาของตนเองอีกครั้ง ทว่าสตรีผู้นี้มิได้บริสุทธิ์ นางไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นภรรยาของเขาอีกต่อไป

‘เพียะ ๆ’ เสียงดังเสียดหูดังขึ้นอีกสองสามหน แม่นมเซียวดึงมือกลับมา มองเฉินจีซินที่เขามาขวางตรงหน้าอวี้ชิงโหรว นางยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “อะไรกัน คิดจะขัดต่อราชโองการงั้นรึ?”

“แม่นม…อึก…แม่นมไว้ชีวิตลูกสาวข้าเถิด เมื่อหกปีก่อนชิงโหรวเพิ่งจะอายุแค่สิบขวบ…อึก…นางจะรู้เรื่องมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? ทั้งหมดนี้ข้าเป็นคนทำ ข้าไม่อยากให้อวี้เป่าเอ๋อร์ได้ใช้ชีวิตดี ๆ จึงซื้อตัวหมอเพื่อให้เขาพูดว่าเป่าเอ๋อร์สติฟั่นเฟือน จึงถูกจับขังไว้ ทั้งหมดนี้ข้าเป็นคนทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับชิงโหรว หากแม่นมคิดจะตบก็ตบข้าเถิด”

แม่นมเซียวเลิกคิ้ว จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปทางอวี้ชิงโหรว “เจ้าพูดมา…สิ่งที่แม่เจ้าพูดคือเรื่องจริงใช่หรือไม่?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แม่นมเซียวนี่มือตบแห่งราชสำนักสินะ ถึงจะแอบโกงนิดหน่อยก็เถอะ

อะไรกระจั๊ว เกิดนึกเสียดายอะไรชิงลั่วขึ้นมา คนอย่างแกไม่คู่ควรกับขี้เล็บชิงลั่วด้วยซ้ำ เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้เขากลายเป็นหญิงมั่วโลกีย์

ไหหม่า(海馬)

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

Status: Ongoing
จากภรรยาผู้เป็นที่รังเกียจของสามีและถูกใส่ความว่าเป็นชู้กับบุรุษอื่นจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน​ อีกหกปีให้หลังได้เป็นหมอหญิงฉายา​ ‘หมอปีศาจ’​ ผู้ลือนามพร้อมบุตรชายแสนซนที่สรรหาเรื่องราวต่างๆ​ รวมถึงบุรุษที่คาดว่าจะเป็นบิดาตนมาให้ไม่หยุดหย่อน​ อวี้ชิงลั่ว​ แพทย์หญิงมือฉกาจจากยุคปัจจุบันผู้ทะลุมิติ​มาเข้าร่างของหมอปีศาจผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไปดี​ ในเมื่อปริศนาเกี่ยวกับตัวเองก็ต้องสืบ​ ส่วนบิดาของลูกติดเจ้าของร่างก็ต้องหา?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท