อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] – ตอนที่ 436 ท่านไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของนางหรอกหรือ

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

ตอนที่ 436 ท่านไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของนางหรอกหรือ?

ตอนที่ 436 ท่านไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของนางหรอกหรือ?

อวี้เป่าเอ๋อร์เข้าใจแล้ว แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกกังวล แต่คำพูดของแม่นมเซียวก็มีเหตุผลมาก เขาจะปล่อยให้ท่านลุงเหวินแบกรับกับความอยุติธรรมไม่ได้

อวี้ชิงลั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่ายังรู้สึกหนักอึ้งอยู่กลางใจ แต่นางคิดว่าการที่อวี้เป่าเอ๋อร์มีนิสัยเช่นนี้นับเป็นสิ่งล้ำค่าที่น่าชื่นชมจริง ๆ

บางทีในยุคสมัยนี้ คงมีแค่เด็กที่จะมีนิสัยเช่นนี้ สามารถนำสิ่งสำคัญของตนเองออกมาได้อย่างไม่ลังเล เพื่อแลกกับชีวิตของคนคนหนึ่ง

นางหันกลับไปมองหนานหนาน เด็กน้อยที่โดยปกติมักจะทำตัววุ่นวายมากที่สุดบัดนี้กลับเงียบสงบ

เย่ซิวตู๋อุ้มเขาลงมาจากรถม้า เอ่ยถามเสียงเบาว่า “หิวหรือไม่? อยากกินอะไรสักหน่อยไหม?”

หนานหนานเงียบขรึมอยู่นาน ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกาย ทว่าคำตอบของเขากลับไม่ตรงกับคำถาม “ท่านพ่อ ข้าจะตั้งใจเรียนวรยุทธ”

วันพรุ่งนี้…นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เขาจะเรียนรู้ความสามารถทั้งหมดจากท่านปู่ลู่ เขาจะแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งมาก ๆ เพื่อปกป้องทุกคน

“…” เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วหันสบตากัน คิ้วของทั้งคู่กลับขมวดมุ่นในเวลาเดียวกัน

ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนี้จะกระตุ้นหนานหนานเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่าความก้าวหน้าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่จากความหมายของพวกเขาทั้งสอง กลับรู้สึกว่าการรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนานหนานในวัยห้าขวบก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว พวกเขาไม่อยากให้หนานหนานแบกรับภาระทางใจมากเกินไป

หนานหนานไถลตัวลงมาจากตัวของเย่ซิวตู๋ หันกลับมาจูงมืออวี้เป่าเอ๋อร์วิ่งเข้าไปด้านใน “ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ไป ๆ ๆ ไปหาอะไรกินกัน วันนี้ข้าจะกินข้าวสามถ้วยใหญ่ เอาถ้วยใหญ่ ๆ ไปเลย ท่านไม่ต้องห่วงนะ ท่านลุงเหวินไม่เป็นไรหรอก มิเช่นนั้นข้านี่แหละที่จะเป็นคนถลกหนังเลาะกระดูกของใต้เท้าเย่อะไรนั่นมาผัดอาหารกิน”

“…” เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วหันสบตากันอีกครั้ง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ดูเหมือนว่าคนที่คิดมากเกินไปคงเป็นพวกเขา หนานหนาน…ก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนานหนานอยู่

สายตามองแผ่นหลังของพวกเขาที่วิ่งห่างไปเรื่อย ๆ ทั้งสองคนยังคงยืนอยู่ในลานอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับขาทั้งสองข้างเดินเข้าไปด้านใน

ถึงกระนั้น พวกเขากลับเดินไปที่ห้องตำราของเย่ซิวตู๋ด้วยกันอย่างรู้ใจกัน

แม่นมเซียวรู้ว่าพวกเขามีธุระต้องพูดคุยกัน จึงสั่งให้หงเย่ยกน้ำชาและขนมเข้าไปให้ก่อนจะถอยออกจากห้อง ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนพวกเขา

อวี้ชิงลั่วกลับเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้นุ่มภายในห้องตำราอยู่นาน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่พูดอะไร จนกระทั่งน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะค่อย ๆ เย็นลงแล้ว คิ้วของนางยังคงขมวดมุ่น ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด

เย่ซิวตู๋จ้องนางอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมาแนบแก้มของนางเพราะทนไม่ไหว

“ซี๊ด…” ผิวแก้วเย็น ๆ กระตุ้นอวี้ชิงลั่ว นางเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่เย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง “ทำอะไรเนี่ย?”

“มีอะไรที่คิดไม่ตกก็พูดออกมา ถามข้าได้”

อวี้ชิงลั่วเหลือบสายตามองเขา แค่นเสียงเบา ๆ หนึ่งเสียง “ถามท่าน? ถามท่านแล้วท่านจะตอบรึ?” เพราะคิดว่าเขาคงไม่พูด นางจึงไม่ปริปากพูดออกมา

“ดูเหมือนว่าคงเป็นคำถามที่ทำให้ลำบากใจ”

“ไม่ลำบากใจหรอก” อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเย็น “หากท่านเห็นข้ากับหนานหนานเป็นคนในครอบครัว เต็มใจที่จะแบ่งปันทุกเรื่องกับพวกเรา เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรต้องลำบากใจ”

เย่ซิวตู๋ถึงกับชะงัก คิ้วขมวดมุ่นทันใด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้มอย่างจนปัญญา นี่คือจิตวิทยาสินะ เขาทนต่อจิตวิทยานี้ไม่ไหวเสียด้วยสิ

“ข้าจะพยายาม”

อวี้ชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย พูดเช่นนี้หมายความว่าเขาเต็มใจที่จะพูดแล้ว?

นางกลืนน้ำลาย เดิมทีคิดจะถามเรื่องลวดลายบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นของแม่นมเก๋อ ทว่าคิด ๆ ดูแล้ว นางกลับเลือกที่จะเปลี่ยนคำถาม “ข้าเพียงแค่กำลังคิดว่า อาฝูผู้นั้นเป็นคนของท่านอ๋องเจ็ด พูดแบบนี้หมายความว่าคนที่คิดจะเล่นงานท่านก็คือท่านอ๋องเจ็ดเย่ฮ่าวถิงและเหมิงกุ้ยเฟย แต่ข้าไม่เข้าใจเลย ท่านกับองค์ชายเจ็ดต่างก็เป็นลูกชายแท้ ๆ ของกุ้ยเฟยทั้งคู่ เหตุใดพวกเขาถึงได้ปฏิบัติกับท่านราวกับเป็นศัตรู?”

นางแอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่า…ท่านไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของเหมิงกุ้ยเฟย?”

เย่ซิวตู๋หลุดหัวเราะ ส่ายหน้าราวกับกำลังพิจารณาอย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างเนิบช้าว่า “อันที่จริงคำถามนี้ข้าเองก็สงสัยมายี่สิบกว่าปีแล้ว หมู่เฟยปฏิบัติต่อข้าด้วยท่าทีเย็นชามาตั้งแต่เล็ก เพียงแต่เสด็จพ่อรักข้ามาก ดังนั้นนางจึงแสดงความกระตือรือร้นเล็ก ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ”

“หลังจากนั้น นางก็คลอดน้องเจ็ดออกมา ทัศนคติที่นางมีต่อน้องเจ็ดช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง นางรักเขาราวกับรักเข้ากระดูกก็มิปาน”

ตอนเด็ก ๆ เย่ซิวตู๋รู้สึกอิจฉาอย่างมาก เหมิงกุ้ยเฟยอนุญาตให้เย่ฮ่าวถิงเรียกนางว่าท่านแม่เป็นการส่วนตัว อุ้มและเล่นเป็นเพื่อนเขา ป้อนอาหารให้เขากิน มอบของดี ๆ ทั้งหมดไว้ตรงหน้าเขาเพียงเพราะอยากให้เขายิ้ม

เย่ซิวตู๋อายุมากกว่าเย่ฮ่าวถิงเพียงสองปีเท่านั้น เมื่อเห็นว่าน้องชายได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกเศร้าใจเช่นกัน บางครั้งก็เกิดความคิดอยากแอบเข้าไปจับมือเหมิงกุ้ยเฟย แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยมีความกล้า เพราะมีครั้งหนึ่งที่เขาแตะโดนมือของเหมิงกุ้ยเฟยทว่ากลับถูกอีกฝ่ายสะบัดหนีในทันที ศีรษะของเขาถูกกระแทกจนเลือดไหลออกมา อย่างไรก็ตามต่อให้เป็นเช่นนี้ เหมิงกุ้ยเฟยกลับสะบัดหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ทั้งยังจดจ่ออยู่กับการเช็ดปลายนิ้วมือของตนเอง

ครั้นเย่ฮ่าวถิงป่วย เหมิงกุ้ยเฟยก็โกรธอาละวาดจนแทบจะรื้อตำหนักอี๋ซิ่งทิ้ง แต่ตอนที่เย่ซิวตู๋ไข้ขึ้นสูงจนแทบเผาสมอง นางกลับทำเพียงเหลือบตามองปราดหนึ่ง หมุนกายเดินไปเล่นกับเย่ห้าวถิงโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามสักคำ แม่นมที่อุ้มเขาก็เอาแต่ทอดถอนหายใจ เมื่อแม่นมเห็นว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่ใส่ใจ ทัศนคติที่มีต่อเย่ซิวตู๋ก็เลวร้ายลงอย่างมากเช่นเดียวกัน

ตอนนั้นสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของเย่ซิวตู๋ยากลำบากยิ่งนัก แม้ฮ่องเต้จะให้ความสำคัญกับเขา แต่เป็นเพราะติดพันกับราชกิจ จึงไม่สามารถมาดูแลเขาได้ องค์ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ทำได้เพียงแค่นอนอยู่หน้าประตูของตำหนักอี๋ซิ่ง มองดูท่าทางประคบประหงมของหมู่เฟยที่มีต่อน้องชายด้านในประตูด้วยความรู้สึกหดหู่ระคนน้อยใจ

หลังจากนั้น เย่ซิวตู๋ก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้น ตอนที่ถูกลอบสังหารครั้งแรกทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังดีที่ท้ายที่สุดก็แคล้วคลาดปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงให้ความสำคัญกับเขาขึ้นมา สั่งให้คนแอบคุ้มกันเขาอย่างเงียบ ๆ ส่วนเสิ่นอิงโม่เสียนเหวินเทียนและเผิงอิง ก็เข้ามาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งยังฝึกวรยุทธกับเขาจนโต

“อันที่จริงตอนที่ข้าบังเอิญไปรู้ว่าคนที่ไล่ฆ่าข้าคือหมู่เฟย ข้าเองก็สงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเช่นกัน แต่บนตัวของข้ามีสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเหมิง ทว่าบนตัวของน้องเจ็ดกลับไม่มี สัญลักษณ์นี้แสดงให้เห็นว่าข้าเป็นลูกชายของหมู่เฟย เป็นลูกชายแท้ ๆ ด้วย”

อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น เหมิงกุ้ยเฟยกินยาอะไรผิดกันแน่? นางเองก็เป็นแม่คนแล้ว ต่อให้นางจะมาจากยุคสมัยปัจจุบันและไม่เคยมีประสบการณ์การอุ้มท้องสิบเดือนมาก่อน แม้ว่านางจะมีนิสัยเย็นชา แต่หลังจากเผชิญกับประสบการณ์คลอดบุตรที่ทำให้สตรียอมแลกกับทุกสิ่งอย่างนั้น นางก็รู้สึกได้ว่าบุตรชายคือชีวิตจิตใจของนาง ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายเขา นางจะตามหาคนคนนั้นอย่างสุดชีวิต

เหตุใดเหมิงกุ้ยเฟยกลับ…บิดเบือนขนาดนี้?

อวี้ชิงลั่วไม่เข้าใจเลย ทว่าในนี้ต้องมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างมาก นางอยากคิดหาต้นสายปลายเหตุ มิเช่นนั้นเหมิงกุ้ยเฟยคงคิดเล่นงานเย่ซิวตู๋ไม่จบไม่สิ้น ส่วนเย่ซิวตู๋ก็มักจะเว้นช่องว่างเล็ก ๆ ให้อยู่เสมอ

เรื่องบางเรื่อง ต่อให้คิดขึ้นมาในตอนนี้ ภายในใจก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี เย่ซิวตู๋ยิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น คลึงหว่างคิ้วของตนเองเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง น้ำเสียงแผ่วเบาลงอย่างมาก “อีกอย่างนะชิงเอ๋อร์ เรื่องของเหวินเทียน ไม่ใช่ฝีมือของหมู่เฟยและน้องเจ็ดหรอก”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หรือเป็นไปได้ว่าองค์ชายเจ็ดจะเป็นลูกติดของคนรักเก่านังกุ้ยเฟย? ถึงได้รักมากขนาดนั้น

ศัตรูเยอะนะท่านอ๋อง ชาติก่อนท่านไปฆ่าล้างตระกูลใครมาเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

Status: Ongoing
จากภรรยาผู้เป็นที่รังเกียจของสามีและถูกใส่ความว่าเป็นชู้กับบุรุษอื่นจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน​ อีกหกปีให้หลังได้เป็นหมอหญิงฉายา​ ‘หมอปีศาจ’​ ผู้ลือนามพร้อมบุตรชายแสนซนที่สรรหาเรื่องราวต่างๆ​ รวมถึงบุรุษที่คาดว่าจะเป็นบิดาตนมาให้ไม่หยุดหย่อน​ อวี้ชิงลั่ว​ แพทย์หญิงมือฉกาจจากยุคปัจจุบันผู้ทะลุมิติ​มาเข้าร่างของหมอปีศาจผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไปดี​ ในเมื่อปริศนาเกี่ยวกับตัวเองก็ต้องสืบ​ ส่วนบิดาของลูกติดเจ้าของร่างก็ต้องหา?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท