อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] – ตอนที่ 449 สายเกินกว่าจะเสียใจ

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

ตอนที่ 449 สายเกินกว่าจะเสียใจ

ตอนที่ 449 สายเกินกว่าจะเสียใจ

“เสด็จพ่อ…” เย่ฮ่าวถิงเผยอริมฝีปากเล็กน้อย อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับมิได้เปล่งเสียงออกมาแม้แต่พยางค์เดียว

เหมิงกุ้ยเฟยสีหน้าอึมครึม ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจอย่างท่วมท้น “ฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่าอาฝูผู้นี้คิดยัดเยียดให้ร้าย”

“เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” ฮ่องเต้เหลือบสายพระเนตรมองพวกเขาปราดหนึ่ง พระขนงผูกเข้าหากันจนกลายเป็นปมแน่น

เหมิงกุ้ยเฟยถึงกับชะงัก…ใช่สิ…เพราะไม่ได้พูดอะไร แต่ท่าทางและการแสดงออกนั้นเป็นการยอมรับโดยปริยาย หากยิ่งพูดโน้มน้าวใจ ก็ยิ่งทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

อาฝูสมควรตาย คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใช้ความตายเพื่อแลกกับความแคลงใจเล็ก ๆ ภายในพระทัยของฮ่องเต้

ประเสริฐ…ประเสริฐยิ่งนัก ช่วงนี้นางแสดงความอ่อนโยนมากเกินไป จนทำให้คนอื่นคิดว่าพวกนางสองแม่ลูกยอมให้รังแกได้ง่าย ๆ กระนั้นรึ?

ฮ่องเต้พระพักตร์แข็งทื่อ ทอดพระเนตรมองพวกเขา อาฝูตายไปแล้ว หากพูดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือองค์ชายเจ็ด สิ่งนั้นก็เป็นแค่ความสงสัยเพราะไร้หลักฐาน แต่หากบอกว่าไม่ใช่ อาฝูก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งชนเสาจนตายเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อหน้าเจ้าเจ็ด

“เสด็จพ่อ” หลังจากเย่ซิวตู๋เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ก้าวเท้าเดินมาด้านหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

เหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดหันมองเขาพร้อมกัน ภายในใจถึงกับเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เขาคิดจะพูดอะไร? เขาคิดจะซ้ำเติมในตอนนี้กระนั้นรึ?

“เสด็จพ่อ ลูกไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของน้องเจ็ด” เย่ซิวตู๋ยิ้มกรุ้มกริ่ม เดิมทีเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของคนอื่น เป้าหมายของคนคนนั้นชัดเจนมาก ก็แค่อยากให้เขาและเย่ฮ่าวถิงแตกคอกัน

แม้เย่ซิวตู๋จะไม่ได้มีความทะเยอทะยานอยากเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นสมปรารถนาเช่นกัน

ฮ่องเต้ชะงักไปครู่หนึ่ง “ซิวเอ๋อร์ เจ้า…”

“เสด็จพ่อ หมู่เฟยเป็นพระมารดาแท้ ๆ ของลูก น้องเจ็ดและลูกก็เป็นพี่น้องแท้ ๆ ร่วมสายเลือด ใคร ๆ อาจทำร้ายลูกได้ แต่หมู่เฟยและน้องเจ็ดไม่มีทางทำเช่นนั้น แม้ว่าลูกและน้องเจ็ดจะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แต่เลือดในกระดูกก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง พี่น้องจะฆ่าแกงกันเองได้อย่างไร?”

เย่ซิวตู๋หัวเราะหนึ่งเสียง ครั้นแลเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูชะงักงันไปเล็กน้อยก็พูดต่อไปว่า “เสด็จพ่อ เป็นอย่างที่หมู่เฟยพูดไว้ อาฝูและน้องเจ็ดเคยมีความคับแค้นใจกันมาก่อน การวางแผนใส่ร้ายให้พวกเราสองพี่น้องเกิดความบาดหมางย่อมเป็นเรื่องปกติ ลูกเชื่อหมู่เฟย เชื่อน้องเจ็ด อาฝูตายไปแล้ว สุดท้ายแล้วเขาจะมีเบื้องหลังคอยบงการหรือตัวเขาเองคิดอยากแก้แค้น ต่างก็มิใช่สิ่งที่อาจรับรู้ได้”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ สายพระเนตรดูอ่อนลง สีพระพักตร์ที่มองเย่ซิวตู๋ก็ดูอ่อนโยน

แม้ภายในพระทัยจะเกิดความสงสัยเล็ก ๆ แต่พระองค์กลับรู้สึกพึงพอใจต่อการแสดงออกของเย่ซิวตู๋เป็นอย่างมาก ไม่ว่าภายในใจของซิวเอ๋อร์จะเชื่อเจ้าเจ็ดหรือไม่ แต่การที่เขาพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้ารัชทายาทฉีและคนอื่น ๆ นั่นคือมาดของแม่ทัพ วางตัวได้อย่างเป็นเลิศ พระองค์มองคนไม่ผิดจริง ๆ

เย่ฮ่าวถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดจะพูดบางสิ่ง ทว่ากลับถูกเหมิงกุ้ยเฟยดึงมือไว้

ใช่แล้ว ไม่ว่าจะแก้ต่างให้ตนเองอย่างไรในเวลานี้ เสด็จพ่อก็ไม่มีทางเชื่อ มิสู้…

“ขอบคุณพี่ห้า” เย่ฮ่าวถิงไม่พูดให้มากความ เพียงแต่สายตาที่ประกายความตื้นตัน กลับแฝงอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน

เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “น้องเจ็ดไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เดิมทีพี่น้องก็ควรจะรักใคร่กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน บนโลกใบนี้คนที่เป็นเหมือนอาฝูมีไม่รู้ตั้งกี่มากน้อย หากระหว่างเราไม่มีความเชื่อใจกันมากพอ กลอุบายของคนเหล่านี้ก็จะประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่ถูกทำลายก็คือชื่อเสียงราชวงศ์ของเราและชื่อเสียงของเสด็จพ่อ”

เย่ซิวตู๋คิดว่า หากอวี้ชิงลั่วได้ยินคำพูดที่ฟังดูใจกว้างเช่นนี้ของเขา คาดว่าคงได้โก่งตัวอาเจียนอยู่ข้าง ๆ เป็นแน่

อืม จู่ ๆ เขาก็แอบรู้สึกคิดถึงนางขึ้นมา ไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นจะเชื่อฟังและอยู่พักผ่อนภายในตำหนักหรือไม่

ฮ่องเต้แย้มพระสรวลด้วยความพึงพอพระทัย ถอนหายใจแรง ๆ เฮือกหนึ่ง “ซิวเอ๋อร์พูดจามีเหตุผล ระหว่างพี่น้อง เดิมทีควรสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่ต่างหากถึงจะเป็นพระโอรสที่ดีของเรา”

“ใช่เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว” เหมิงกุ้ยเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหางตาเบา ๆ นัยน์ตาแอบคลอด้วยหยาดน้ำตาขณะกล่าวเสริม

ช่างเป็นฉากบิดาเมตตาบุตรกตัญญูพี่น้องเคารพกันจริง ๆ ฉีหานเว่ยยกมุมปากยิ้มเยาะ

ไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็มีพี่น้องแตกคอกันไม่รู้ตั้งเท่าไร จะให้เขาเชื่อว่าเย่ซิวตู๋และเย่ฮ่าวถิงที่ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันแต่โดยปกติกลับไม่ค่อยได้พูดคุยกันมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันงั้นรึ? ฉีหานเว่ยยิ้ม ก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น

“เสด็จพ่อ ในเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ฆาตกรที่ฆ่าเหอต้าเหลียงก็ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ทอดพระเนตรมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง ก่อนตรัสเสียงดังว่า “คดีของนักเล่าเรื่องเหอต้าเหลียง มีหลักฐานแน่นหนาว่าอาชญากรคืออาฝู วางอุบายไว้อย่างแยบยลและกระทำความชั่ว ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องและองค์หญิงอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ในตอนท้ายยังแหกคุกหนีเอาตัวรอด พยายามฆ่าปิดปากสองแม่ลูกตระกูลเหอ โชคดีที่หลักการแห่งสวรรค์คือทำชั่วย่อมได้รับกฎแห่งกรรม ตอนนี้ความจริงได้ถูกเปิดเผย ผู้อารักขาเหวินเทียนของตำหนักอ๋องซิวพ้นจากความผิด มอบเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อเป็นการชดเชย”

“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทแทนเหวินเทียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เย่ซิวตู๋ค้อมกายคารวะเล็กน้อย สีหน้ายังคงเรียบเฉย

ฮ่องเต้เม้มพระโอษฐ์ สายพระเนตรกวาดมองไปที่ผู้ตรวจการเมืองหลวงเย่โฉวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ตั้งแต่เกิดเรื่องอะไรอาฝูเขาก็ไม่ปริปากพูดตั้งแต่ต้นจนจบ สายพระเนตรขรึมลงขณะตรัสด้วยเสียงเย็นเยียบ “ผู้ตรวจการเมืองหลวงเย่โฉวปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จับกุมผิดคน ทำให้นักโทษอาฝูหนีออกมาจากคุก จนเกือบก่อหายนะให้กับสองชีวิต แม้ว่าเหอไห่และมารดาจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านอ๋องซิวและรัชทายาทฉี แต่องค์ชายสิบสามกลับได้รับบาดเจ็บเพราะอาฝูขณะช่วยเหลือ ทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต เย่โฉว ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ตรวจการเมืองหลวง…”

หลังจากนั้นฮ่องเต้ตรัสอะไร เย่โฉวได้ยินไม่ชัดเจนแล้ว เขารู้สึกได้แค่เสียงหึ่ง ๆ ๆ ข้างหู อีกอย่างตำแหน่งของเขาก็ถูกลดจากขั้นสี่เป็นขั้นหกแล้ว

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมา ความพยายามอันยาวนานของเขา ไต่เต้าจากเจ้าหน้าที่ขั้นเจ็ดตัวเล็ก ๆ มาจนถึงขั้นสี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่ามีตำแหน่งและเส้นสายเหมือนอย่างวันนี้ คิดไม่ถึงเลย เพียงไม่นานจู่ ๆ ก็ต้องกลับไปอีกครั้งแล้ว

อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นว่าอาฝูถูกจับตัวเข้ามาในท้องพระโรง เขาก็รู้แล้วว่าคงหนีไม่พ้นโทษลดตำแหน่ง เพียงแต่ตอนนั้นเขาคิดว่าอาจโดนโทษหักเงินและถูกฮ่องเต้ตำหนิสักยกหนึ่ง ถึงอย่างไรฮ่องเต้คงไม่จัดการกับขุนนางของพระองค์เองเพียงเพราะเหวินเทียนที่เป็นแค่ผู้อารักขาคนหนึ่ง

แต่สิ่งที่เย่โฉวคิดไม่ถึงก็คือ อาฝูทำให้องค์ชายสิบสามของอาณาจักรหลิวอวิ๋นได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาระหว่างสองอาณาจักร อีกอย่างรัชทายาทฉีก็ยืนอยู่ตรงหน้า และกำลังอยู่ในการแข่งขันของสี่อาณาจักร เพื่ออธิบายกับรัชทายาทฉี ฮ่องเต้ย่อมต้องจัดการด้วยการลงโทษสถานหนักถึงจะถูก

บางที…บางทีรอให้การแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรสิ้นสุดลง ฮ่องเต้อาจแต่งตั้งเขากลับขึ้นมาอีกครั้ง

เย่โฉวทำได้เพียงแค่คิดปลอบใจตนเองเช่นนี้อยู่ภายในใจ ทั้งยังรู้สึกขมปากเป็นพิเศษ เรื่องสกปรกที่อยู่ด้านหลังนั้นเขาคงทำได้เพียงแค่กลืนกลับลงไป โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่ยอบกายคารวะ “กระหม่อมรับพระบัญชา ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รอดตัวไปนังกุ้ยเฟย แต่ใต้เท้าเย่ไม่รอดแล้ว กว่าจะได้ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสี่นี่มันยากนะ

ไหหม่า(海馬)

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

Status: Ongoing
จากภรรยาผู้เป็นที่รังเกียจของสามีและถูกใส่ความว่าเป็นชู้กับบุรุษอื่นจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน​ อีกหกปีให้หลังได้เป็นหมอหญิงฉายา​ ‘หมอปีศาจ’​ ผู้ลือนามพร้อมบุตรชายแสนซนที่สรรหาเรื่องราวต่างๆ​ รวมถึงบุรุษที่คาดว่าจะเป็นบิดาตนมาให้ไม่หยุดหย่อน​ อวี้ชิงลั่ว​ แพทย์หญิงมือฉกาจจากยุคปัจจุบันผู้ทะลุมิติ​มาเข้าร่างของหมอปีศาจผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไปดี​ ในเมื่อปริศนาเกี่ยวกับตัวเองก็ต้องสืบ​ ส่วนบิดาของลูกติดเจ้าของร่างก็ต้องหา?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท