อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] – ตอนที่ 491 ค้นพบความลับ

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

ตอนที่ 491 ค้นพบความลับ

ตอนที่ 491 ค้นพบความลับ

“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร? ไม่ไปสนามประลองหรือ?” อวี้ชิงลั่วขยับตัวไม่ได้เพราะอยู่ในอ้อมกอดของเขา อีกทั้งข้างนอกยังมีเสียงสนทนากันระหว่างจินหลิวหลีกับเสิ่นอิง ทำให้ขีดดำสามขีด(1)เริ่มผุดบนหน้าผากอย่างช้าๆ

รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เย่ซิวตู๋หลับตาพิงหมอนที่วางไว้ในรถม้า ศีรษะของเขาโยกไปมา

“อืม กลับมาก่อนเวลาน่ะ”

“ท่านรออยู่ที่นี่นานเพียงใดแล้ว?” อวี้ชิงลั่วรู้สึกอึดอัดมากที่ถูกเขากอดไว้เช่นนี้ นางขยับตัวอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าเอวของนางถูกรัดแน่นขึ้นอีก ก่อนจะได้ยินเสียงเตือนแผ่วเบาลอยเข้าหู “อย่าขยับ นั่งลง”

อวี้ชิงลั่วหายใจไม่ออก ชายผู้นี้รู้สึกสบายเมื่อกอดนางไว้ในอ้อมแขนหรือ?

“ชิงเอ๋อร์ ภายหน้าอย่าได้เจอหลีจื่อฟานอีก” ในที่สุดเย่ซิวตู๋ก็ลืมตาขึ้น และเหลือบมองใบหน้าที่แดงก่ำของนาง ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ขณะโน้มตัวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น

อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลงทันที หลิวหลีบอกว่าหลีจื่อฟานออกไปตั้งแต่หนึ่งก้านธูปที่แล้ว สรุปแล้วเห็นเขาออกไปจริงหรือไม่?

กล่าวได้ว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว

อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที และมองกลับไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าคนที่หลี่เจ๋อบอกว่าเป็นคนรายงานข่าวให้ผู้ตรวจการเมืองหลวงก็คือท่าน”

“แล้วไม่ได้หรือ?” เย่ซิวตู๋ถามหน้าตาเฉย

มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุกสองครั้ง เช่นนี้คนผู้นี้ก็รออยู่ข้างนอกแล้วในตอนที่หลี่เจ๋อมาเช่นนั้นหรือ? “เช่นนั้นหลี่เจ๋อก็เป็นคนของท่านด้วยใช่หรือไม่?”

การกำจัดเย่โฉวแล้วแทนที่ด้วยคนของเย่ซิวตู๋นั้นสะดวกกว่ามาก การข่มเหงก็จะลดน้อยลง อืม ไม่เลว

อวี้ชิงลั่วคิดในแง่ดี แต่คนข้างกายนางกลับตอบเสียงเรียบ

“ไม่ใช่”

อวี้ชิงลั่วสำลักน้ำลายตัวเอง “แค่กๆ ไม่ใช่คนของท่านหรอกหรือ?” แล้วเหตุใดเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยนางด้วย?

นอกจากนี้นางยังสนใจแววตาของเขาก่อนที่เขาจะจากไปจริง ๆ มันทำให้… รู้สึกแปลก ๆ

อวี้ชิงลั่วรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ นางยกมือถูคิ้วตัวเอง

พอแค่นี้ก่อน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องหลี่เจ๋อ เรื่องเร่งด่วนที่สุดคืออาการป่วยของอวี้เจี้ยนต๋า

หากไม่รีบรักษาอาการป่วยของเขาให้เร็วที่สุด เขาก็จะทนไม่ไหวแล้ว

เฮ้อ การเปลี่ยนใจนั้นพูดง่ายแต่ทำยากเสียจริง

อวี้ชิงลั่วหงุดหงิดมาก ยิ่งมีเรื่องเครียดมากเพียงใด ก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกมากเท่านั้น

จู่ ๆ ก็มีสองนิ้วแตะที่หน้าผากของนาง ทำให้รู้สึกราวกับมีกระแสน้ำอุ่นค่อยๆ ไหลชโลมกาย นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังนิ้วเรียวที่กำลังนวดขมับของนางอย่างแผ่วเบา ก่อนยกยิ้ม

“เรื่องใต้เท้าอวี้นั้นทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เจ้าไม่ใช่เทพเซียนที่สามารถดลบันดาลทุกอย่างได้ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลย”

“พรืด…” อวี้ชิงลั่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะดึงมือของเขาลงแล้วหันไปมองเขา “เย่ซิวตู๋ ข้าพบว่าท่านเป็นดั่งพยาธิตัวกลมในท้องของข้าจริง ๆ ดูเหมือนว่าท่านจะรู้ทุกอย่างที่ข้ากำลังคิดอยู่ตลอดเลย”

เย่ซิวตู๋ยกมือขึ้นนวดให้นางอีกครั้ง สักพักเขาก็พูดอย่างเย็นชา “อย่าเปรียบข้าเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงเช่นนั้นสิ ต้องเรียกว่าใจตรงกันต่างหาก”

ใจตรงกันหรือ? นั่นต่างหากที่เป็นคำเปรียบอันน่ารังเกียจ

อวี้ชิงลั่วส่ายศีรษะพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะ แต่กลับรู้สึกสบายใจ หัวใจที่กระสับกระส่ายเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะสงบลงด้วยอ้อมแขนคู่นี้จริงๆ

นางครุ่นคิด เย่ซิวตู๋เป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดอย่างไม่อาจอธิบายได้ ในชีวิตนี้ เกรงว่าจะมีแค่เขาที่ทำได้

แม้หลีจื่อฟานจะเป็นคนหน้าตาดี แต่วิธีครองหัวใจคนของเย่ซิวตู๋นั้นช่างทระนงและทรงอำนาจยิ่งนัก

“คิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงทุ้มต่ำดังก้องในหูนางอีกครั้ง

อวี้ชิงลั่วเม้มปากและส่ายหน้า ตลกแล้ว หากนางบอกเขาว่ากำลังคิดถึงหลีจื่อฟานอยู่ เห็นทีผิวหนังครึ่งหนึ่งบนร่างกายนางคงจะถูกถลกออกเป็นแน่

เย่ซิวตู๋กำลังจะถามอะไรบางอย่าง แต่รถม้ากลับหยุดลงอย่างแช่มช้า พร้อมกับเสียงของเสิ่นอิงดังขึ้นข้างนอก “ท่านอ๋อง แม่นางอวี้ มาถึงตำหนักอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงประชดของจินหลิวหลีก็ดังขึ้น “ไปกันเถอะ ปล่อยให้พวกเขาลงมาเอง อยู่ด้วยกันได้ทั้งวันโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว”

เสิ่นอิงยกยิ้ม และเห็นว่าจินหลิวหลีไม่ได้ตระหนักตนเองว่าอยู่ในฐานะสาวใช้เลย นางก้าวเข้าไปในประตูตำหนักอ๋องอย่างมั่นใจ

เขาวางที่วางเท้าลงด้วยความเคารพ และยกม่านรถม้าขึ้นเพื่อให้เจ้านายทั้งสองออกจากรถม้า

เมื่อเดินเข้าประตูไป ก็บังเอิญเห็นหงเย่รีบเดินไปที่เรือนพักของเหวินเทียน พร้อมของบางสิ่งในมือ

อวี้ชิงลั่วจำได้ว่าวันนี้นางไม่มีเวลากลับไปหาเหวินเทียน หลังจากชะงักไปชั่วครู่ นางก็เดินตามหงเย่ไป

เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วและต้องการจะเรียกนาง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวเท้าเดินตามนางไป

แต่สิ่งที่ทั้งสองไม่คาดคิดก็คือ ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงลานบ้านของเหวินเทียน พวกเขาก็ได้ยินเสียงอื่นดังมาจากระยะไกล

เย่ซิวตู๋รีบเอามือปิดปากอวี้ชิงลั่วไว้ ทั้งสองหายใจช้าลงและเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย

“ท่านเผิง หงเย่เป็นแค่คนรับใช้ ความคิดเดียวของข้าคือการรับใช้เจ้านายให้ดี เรื่องอื่นนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของหงเย่ แม้ท่านเผิงจะพึงใจ แต่หงเย่รับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”

รูม่านตาของอวี้ชิงลั่วหดตัว เผิงอิงชอบหงเย่หรือ? ไม่มีทาง พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่วันและไม่ได้คุยกันสักคำ แล้วพวกเขาจะตกหลุมรักกันได้อย่างไร?

เมื่อฟังจากเสียงของหงเย่แล้ว ดูเหมือนว่าบุปผาโรยมีใจแต่สายธารไร้ปรานี(2)

เผิงอิงดูเหมือนจะเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ข้าเข้าใจ แต่ข้าซื้อสิ่งนี้ไปแล้ว และข้าไม่สะดวกที่จะเก็บสิ่งของของสตรีไว้ข้างกาย หากโยนทิ้งไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นเจ้าก็ช่วยข้าจัดการกับมันหน่อยก็แล้วกัน”

หงเย่น่าจะลังเล นางส่ายศีรษะหลายครั้ง “หากเรื่องที่ชายหญิงให้และรับของเป็นการส่วนตัวแพร่กระจายออกไป มันจะทำลายชื่อเสียงของท่านเผิงได้ หงเย่ยังมีสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นขอตัวลาไปก่อนนะเจ้าคะ”

ทันทีที่นางพูดจบ นางก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่รีรอ

เผิงอิงยังคงยืนอยู่ที่นั่นและจ้องมองนางเดินจากไปอยู่นาน จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างขมขื่น “เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้ฉลาดนัก? หากนางทำตัวโง่เขลาเหมือนเยว่ซินบ้างก็คงดี”

แต่ถ้านางเหมือนกับเยว่ซินจริง ๆ เขาก็คงไม่ชอบนางอีกต่อไป

เผิงอิงถอนหายใจแรงอีกครั้งแล้วส่ายหัว ก่อนจะเดินถือกล่องเล็ก ๆ ในมือออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับหงเย่

จนกระทั่งทั้งคู่เดินลับสายตาของอวี้ชิงลั่วไปแล้ว เย่ซิวตู๋จึงปล่อยมือที่ปิดปากนางไว้และครุ่นคิด

“จุ๊ๆ ดอกท้อในตำหนักอ๋องซิวกำลังผลิบานสะพรั่งเชียว เหตุใดความรักของทุกคนถึงผลิบานกันหมด?”

เย่ซิวตู๋เหลือบมองนางแล้วสูดหายใจเบาๆ “เจ้ายังจะไปหาเหวินเทียนอีกหรือ?”

“ไว้ทีหลัง เรามาพูดถึงเผิงอิงและหงเย่กันก่อนดีหรือไม่?”

เย่ซิวตู๋หันหลังเดินจากไป โดยไม่แม้แต่จะหันมามองนาง

อวี้ชิงลั่วรู้สึกหงุดหงิด ชายคนนี้ไม่ได้สนใจเลยจริง ๆ นางก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเพื่อจะรั้งเขาไว้ แต่จู่ ๆ แม่นมเซียวที่อยู่ตรงนั้นก็รีบเดินตรงเข้ามาหานาง และเมื่อเห็นนางแล้วก็ยิ่งก้าวเร็วขึ้น

……………………………………………………………………………………………………………….

ขีดดำบนหน้าผากสามขีด – แสดงถึงอาการวิตกกังวลหรืออารมณ์ขณะอยู่ในสถานการณ์จนตรอก ในม่านฮวามักจะใช้กันเพื่อแสดงอารมณ์ของตัวละคร

落花有意,流水无情 เป็นคำเปรียบเปรย แปลว่าการรักข้างเดียว

สารจากผู้แปล

เกิดอะไรขึ้นกับตำหนักท่านอ๋อง ทำไมทุกคนต่างมีความรักกันหมดคะ

ไหหม่า(海馬)

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

Status: Ongoing
จากภรรยาผู้เป็นที่รังเกียจของสามีและถูกใส่ความว่าเป็นชู้กับบุรุษอื่นจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน​ อีกหกปีให้หลังได้เป็นหมอหญิงฉายา​ ‘หมอปีศาจ’​ ผู้ลือนามพร้อมบุตรชายแสนซนที่สรรหาเรื่องราวต่างๆ​ รวมถึงบุรุษที่คาดว่าจะเป็นบิดาตนมาให้ไม่หยุดหย่อน​ อวี้ชิงลั่ว​ แพทย์หญิงมือฉกาจจากยุคปัจจุบันผู้ทะลุมิติ​มาเข้าร่างของหมอปีศาจผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไปดี​ ในเมื่อปริศนาเกี่ยวกับตัวเองก็ต้องสืบ​ ส่วนบิดาของลูกติดเจ้าของร่างก็ต้องหา?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท