ตอนที่ 505 ปลุกเจ้าตื่น
ตอนที่ 505 ปลุกเจ้าตื่น
“ก็ไม่เชิง” เย่ซิวตู๋พยุงนางให้พิงเก้าอี้ยาวนุ่ม แล้วกระซิบว่า “เรื่องนี้อยู่ในการคาดเดาของเราเช่นกัน ผู้บัญชาการเว่ยฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด”
จากคำให้การของชิวหลาน ไปจนถึงการค้นพบหลักฐานที่พิมพ์ด้วยลายมือและมีตราประทับของผู้บัญชาการเว่ย เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเฉินจีซินและลูกสาว
เนื่องจากผู้บัญชาการเว่ยมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงไม่ง่ายเลยที่จะหลบหนีได้
คนที่อยู่เบื้องหลังช่างมีความสามารถมากนัก เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนของนางดูเหมือนจะภักดีมาก ไม่ว่าจะเป็นเคอกงกง อาฝูหรือแม้แต่ผู้บัญชาการเว่ยคนปัจจุบัน
อวี้ชิงลั่วต้องยอมรับว่าคนผู้นี้มีวิธีไล่ตามนางอย่างหาตัวจับยาก และคนเหล่านั้นก็ปกป้องนางด้วยชีวิตของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเล็กน้อย พวกเขาจะชดใช้ด้วยความตาย เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสืบสาวราวเรื่องได้เลยแม้แต่น้อย
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูเคร่งขรึมลง
หากสมุนของคนผู้นั้นเป็นคนเช่นนี้จริง มันก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีคนมากมาย เคอกงกงอยู่เคียงข้างเย่หลานเฉิงมาหลายปีแล้ว ส่วนผู้บัญชาการเว่ยก็เป็นคนสนิทของเหมิงกุ้ยเฟย และอาฝูก็ทำงานเคียงข้างองค์ชายเจ็ดเช่นกัน
จู่ ๆ อวี้ชิงลั่วก็จับมือเย่ซิวตู๋มาบีบทันที
“เป็นอะไรไป?” เย่ซิวตู๋รู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของนาง เสียงของเขาจึงเบาลงเล็กน้อย
อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า นางกังวลเล็กน้อยว่าจะมีคนเช่นนั้นอยู่ข้างกายเย่ซิวตู๋หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น เย่ซิวตู๋จะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ?
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะระวังตัว” ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ระวังความปลอดภัยของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องปกป้องภรรยาและลูกชายของเขาให้มีชีวิตปลอดภัย และมีความสุขด้วย
อวี้ชิงลั่วยกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนนางจะกังวลมากเกินไปเล็กน้อย เย่ซิวตู๋ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมนั่งให้คนทุบตี และตอนนี้เขาเริ่มโจมตีแล้ว มันจึงถึงเวลาที่คนผู้นั้นจะต้องตื่นตระหนก
หนานหนานเอามือเท้าคางมองซ้ายขวา แล้วถอนหายใจอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านจะจู๋จี๋กันไปอีกนานเพียงใด? อย่างไรเสียก็ช่วยดูแลลูกชายผู้ร่าเริง น่ารักและฉลาดเฉลียวของพวกท่านด้วย ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
เย่ซิวตู๋เหลือบมองเขา “ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งจะกินนกพิราบย่างและแป้งทอดต้นหอมมาหรือ?”
“…” ให้ตายเถอะ ท่านพ่อรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?
หนานหนานรู้สึกหงุดหงิด หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ยืดอกเล็ก ๆ ของตนอย่างมั่นใจ แล้วพูดด้วยสีหน้าใสซื่อว่า “ข้าเป็นเด็ก และเด็กก็ต้องกินเยอะ จะทำอย่างไรหากข้าไม่สูงขึ้นเพราะท่านไม่ให้ข้ากินอาหาร?”
“เจ้ากินอะไรไป?” อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาขณะถาม และฟังอย่างตั้งใจ
จู่ ๆ หนานหนานก็รู้สึกใจเต้นตึกตักขึ้นมา ในตอนนี้เขาเห็นความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์ในสายตาแปลก ๆ ของท่านแม่แล้ว อืม ท่านแม่คงต้องการคิดบัญชีเก่ากับเขา และต้องการให้เขารับผิดชอบวีรกรรมร้ายกาจล่าสุดของเขาด้วย
จู่ ๆ เขาก็กระโดดขึ้นจากพื้น ก่อนจะสะบัดผมอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ “ข้าเหนื่อยจริง… ข้าใช้สมองของข้าหมดแล้ว ข้าเอาแต่คิดว่าจะจัดการกับนางจิ้งจอกของท่านพ่ออย่างไรมากเกินไป ข้าจึงหิวจนตาลายแล้ว”
อะไรกัน จากนางจิ้งจอกที่หมายปองท่านพ่อ กลายเป็นนางจิ้งจอกของท่านพ่อไปแล้วหรือ? ใบหน้าของเย่ซิวตู๋มืดมน เจ้าตัวเล็กนี้กำลังพยายามดึงให้เขามีความผิดไปด้วย?
“เอาล่ะ พวกท่านอย่ามาแสดงความรักกันที่นี่นะ เร็วเข้า ล้างมือแล้วออกไปกินข้าว ข้าขอตัวไปก่อนนะ” หนานหนานไม่เปิดโอกาสให้พ่อแม่ของเขาคิดบัญชีตน และเดินส่ายหัวออกไปราวกับว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสอง
ปล่อยให้อวี้ชิงลั่วกับเย่ซิวตู๋มองหน้ากันและมุมปากกระตุก
ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่นมเซียวผู้ได้รับ ‘คำสั่ง’ ของหนานหนาน ก็มาเคาะประตูเชิญทั้งสองไปที่โถงบุปผาเพื่อกินอาหารเย็น
ในห้องอาหารเงียบสงัด อวี้ชิงลั่วมองหนานหนานด้วยสายตามีเลศนัย และคนถูกมองก็ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับการกิน
เย่หลานเฉิงต้องการถามหนานหนานว่าเกิดอะไรขึ้นกับชิวหลานอยู่หลายครั้ง แต่หนานหนานเพียงแค่เหลือบมองเขา และไม่คิดที่จะเล่าให้เขาฟัง
ขณะรับประทานอาหาร ทุกคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกัน สายตามีเลศนัยของอวี้ชิงลั่วยังคงจ้องมองหนานหนาน ทำให้หลังจากที่กินดื่มเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบลุกออกจากโต๊ะอาหารทันที และเดินตรงกลับไปยังตำหนักของเขา
เย่หลานเฉิงรีบจิบน้ำสองสามอึกและจากไป
ส่วนอวี้ชิงลั่วยังคงกินอาหารช้า ๆ จนกระทั่งเย่ซิวตู๋วางตะเกียบลงและลุกไปห้องอ่านหนังสือ นางจึงเช็ดปากของและมองไปยังแม่นมเซียว “ชิวหลานเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดูเหมือนว่าหลังจากที่รู้สถานะของหนานหนานแล้ว นางก็ตกใจมาก แต่บัดนี้นางเงียบมาก ไม่ขยับเขยื้อนและไม่แม้แต่จะหันมามอง”
“จริงหรือ?” อวี้ชิงลั่วโบกมือให้คนมาเก็บโต๊ะ และลุกขึ้นเดินเข้าไปในตำหนัก
แม่นมเซียวเดินตามหลัง เอ่ยกระซิบเบายิ่ง “แต่หม่อมฉันคิดว่าไม่ควรปล่อยชิวหลานไป ข้าเกรงว่านางจะมีความคิดไม่ดีอีกเพคะ”
“ไม่เป็นอะไร นางทนหิวมาแล้วสองวันและน่าจะอ่อนแรงมาก ตอนนี้นางคงไม่สามารถเล่นเล่ห์กลอะไรได้แล้ว เพียงแค่ให้คนคอยจับตาดูนางก็พอ”
อวี้ชิงลั่วก้าวเข้าไปในประตู แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าเปียกที่แม่นมเซียวมอบให้มาเช็ดมือ จากนั้นจึงนอนอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ยาวนุ่ม อ่านหนังสือที่นางอ่านค้างไว้ต่อ
แม่นมเซียวพยักหน้าและออกไป เมื่อนางกำลังจะหลับ ก็เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอน และปิดไฟแล้วปิดประตู
เมื่ออวี้ชิงลั่วกำลังจะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา ร่างกายของนางก็อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น หลังจากกระซิบเบา ๆ นางก็เลือกท่าที่สบายสำหรับตัวเอง และผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เย่ซิวตู๋กอดนางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และหลับตาลง
คืนที่เงียบสงัดเป็นปกติเหมือนเคย แต่มีบรรยากาศที่ต่างออกไป
ช่วงกลางดึกก็มีเสียงเคาะประตูห้องของอวี้ชิงลั่วเบา ๆ มันดังอย่างรวดเร็วและหยุดทันที
เย่ซิวตู๋ลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยและค่อนข้างจะหายง่วงทันที เมื่อมองลงไปยังอวี้ชิงลั่วที่กำลังนอนขดอยู่ในอ้อมแขนของเขา และขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เย่ซิวตู๋ก็รีบเอื้อมมือออกไปลูบหลังนางแผ่วเบา พร้อมกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงหวาน “เจ้านอนต่อเถิด ข้าจะลุกไปดูนะคนดี”
อวี้ชิงลั่วที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา แล้วรู้สึกว่าความอบอุ่นข้างนางเคลื่อนไหวเล็กน้อย และหายไปทันที
จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่ชินเมื่อกลิ่นของเขาหายไป อวี้ชิงลั่วที่เพิ่งหลับไปอดไม่ได้ที่จะลืมตามองออกไปข้างนอก
มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ และเย่ซิวตู๋ก็รีบเดินออกไป
ไม่รู้ว่าคนข้างนอกพูดอะไรกับเขา อวี้ชิงลั่วพยายามเงี่ยหูฟังแล้ว แต่ได้ยินไม่ชัด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเปิดและปิดประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเย่ซิวตู๋ก็กลับมาที่เตียง เมื่อเห็นนางนอนขมวดคิ้วอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง “เผลอปลุกเจ้าตื่นเสียแล้วหรือ?”
“มีข่าวจากหลิวหลีหรือไม่?”
“ไม่มี”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หนานหนานรอโดนท่านแม่คิดบัญชีได้เลย ท่านแม่ไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ หรอก
นังชิวหลานดูไม่น่าไว้ใจเลยค่ะ กลัวว่าจะเป็นพวกตัวใหญ่ๆ หรือมีแบคใหญ่จังเลย ถ้าดูจากที่ชิงลั่วเดาว่ามีคนใหญ่ยิ่งกว่านังกุ้ยเฟยคอยบงการอยู่อีกที
ไหหม่า(海馬)