ตอนที่ 692 อวี้ชิงลั่วจะเผาห้องตำราของประมุขตระกูล
ตอนที่ 692 อวี้ชิงลั่วจะเผาห้องตำราของประมุขตระกูล
นางจำได้ว่าชายคนนั้นเป็นคนที่ช่วยเซียวเฟยจัดการกับนางในวัดเมื่อครั้งที่แล้ว และสุดท้ายก็เป็นคนตบเซียวเฟย
เขา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนของเหมิงกุ้ยเฟย เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?
ทว่าเหมิงกุ้ยเฟยมาจากเผ่าเหมิง บางทีผู้อาวุโสเผ่าเหมิงคนนี้อาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเหมิงกุ้ยเฟย เหมิงจื้อเฉิงก็อาจเป็นพวกเดียวกับเหมิงกุ้ยเฟยด้วย
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว เมื่อนางนึกถึงสิ่งที่เหมิงกุ้ยเฟยทำกับเย่ซิวตู๋ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความแค้น แต่ถึงอย่างไรเหมิงกุ้ยเฟยก็เป็นแม่ของเย่ซิวตู๋ ทั้งนางและเย่ซิวตู๋จึงไม่อาจคิดสังหารเหมิงกุ้ยเฟยได้
สัญชาตญาณบอกอวี้ชิงลั่วว่าวิทยายุทธ์ของชายผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป และวิทยายุทธ์ของเหมิงจื้อเฉิงก็ไม่ได้อ่อนแอแน่นอน หากนางฉลาด นางต้องอยู่ห่างจากคนสองคนนี้
ทว่านางรู้สึกว่าคงไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นหากทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เย่ซิวตู๋อยู่ในเผ่าเหมิงด้วย
บางทีคนผู้นี้อาจถูกเหมิงกุ้ยเฟยส่งมาเพื่อทำร้ายเย่ซิวตู๋ ในเผ่าเหมิงนั้น อำนาจของเย่ซิวตู๋ต่ำกว่าของเหมิงจื้อเฉิงและคนอื่น ๆ มาก เขามีเพียงเสิ่นอิงและคนอื่น ๆ อยู่ข้างกายเขาเท่านั้น ดังนั้นจึงง่ายต่อการพลาดพลั้งเสียทีอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา หากนางไม่ได้หุนหันพลันแล่นมาที่เผ่าเหมิง เย่ซิวตู๋ก็คงไม่รีบร้อนถึงเพียงนี้ บางที… พวกเขาอาจมีแผนที่รอบคอบกว่านี้
แต่เสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว… อวี้ชิงลั่วกัดฟัน แต่สุดท้ายนางก็ไม่อาจอดทนได้ นางย่องเข้าไปข้างเรือนหลังเล็ก
นางไม่กล้าส่งเสียง สองคนนี้เป็นคนที่หูไวมาก เพียงแค่หายใจแรงนิดเดียวก็ได้ยิน ชีวิตของนางตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ และตอนนี้นางก็… ไม่อาจรับมือตามลำพังได้
เมื่ออวี้ชิงลั่วเข้าใกล้เรือน นางก็เกาะติดมุมกำแพงอย่างระมัดระวัง แล้วแนบหูฟังเสียงจากด้านใน
“ไม่เจอกันตั้งนาน แต่นิสัยของเจ้ายังคงเหมือนเดิม ข้าเผชิญความล่าช้าเพราะอุปสรรคระหว่างทาง และเพิ่งกลับมาเหมิงเมื่อสองวันก่อน คาดไม่ถึงเลยว่าช่วงนี้จะมีคนมากมายมาที่นี่ งานเทศกาลชิมสุราครั้งนี้เหมือนจะเป็นงานใหญ่ หมอเฒ่าฉยงซานก็มาที่นี่ด้วย” เสียงนี้… คือเสียงของชายสวมหน้ากากในตอนนั้น
เหมิงจื้อเฉิงพยักหน้า “มันค่อนข้างแปลกตรงที่คราวนี้หมอเฒ่าฉยงซานพาสตรีมาด้วย ดูเหมือนว่าไม่เคยมีสตรีคนไหนอยู่ใกล้หมอเฒ่าฉยงซานเลย”
“สตรีหรือ?” เหมิงพั่วขมวดคิ้ว “สตรีคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
อวี้ชิงลั่วตกใจ ให้ตายเถอะ เหมิงพั่วคนนี้เคยเห็นนางมาก่อน หากเขารู้ว่านางมาที่นี่ เขาก็ต้องรู้ด้วยว่าตอนนี้นางอยู่ในเผ่าเหมิง ในคฤหาสน์เก่าแก่ของเผ่าเหมิง และนางอาจถูกฆ่าตายในทันที
นางต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เขาพูด
ขณะที่อวี้ชิงลั่วกำลังคิดอยู่ ก็มีเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากข้างใน “ใครอยู่ข้างนอก?”
หัวใจของอวี้ชิงลั่วแทบจะวาย เข็มเงินอาบยาพิษสองสามเล่มปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของนางทันที พร้อมที่จะพุ่งออกไป
ทันใดนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากข้างใน “นาย นายท่าน ท่านประมุขตระกูลบอกให้ท่าน…”
จู่ ๆ เหมิงจื้อเฉิงก็เปิดประตูบีบคอคนรับใช้ที่มารายงาน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าอยู่ข้างนอกตั้งแต่เมื่อใด? เจ้าได้ยินอะไรบ้าง? เหตุใดจึงไม่ส่งเสียง?”
“ข้า ข้าไม่ได้ ก็แค่…” คนรับใช้ลังเล และในวินาทีต่อมาเขาก็เปิดการโจมตี โดยมุ่งเป้าไปที่เหมิงจื้อเฉิง
“ไม่รู้จักประมาณตน” เหมิงจื้อเฉิงเอียงศีรษะหลบ แล้วทันใดนั้นก็ออกแรงบีบด้วยสองนิ้วเสียงดัง ‘กร๊อบ’ สองครั้ง และคนรับใช้ก็เงียบไป
เหมิงพั่วเดินตามออกไปที่ประตู แล้วเหลือบมองร่างไร้วิญญาณของคนรับใช้ เขาขมวดคิ้วและไม่ได้เอ่ยคำใด แต่ยกเท้าเดินไปที่ใกล้หน้าต่างที่อวี้ชิงลั่วซ่อนอยู่เมื่อสักครู่นี้
เหมิงจื้อเฉิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรหรือ?”
ไม่มีใครอยู่ใต้หน้าต่าง เหมิงพั่วส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าเรือนเล็กแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ข้ากลับก่อน ไว้เจอกันวันหลัง”
“ตกลง” เหมิงจื้อเฉิงพยักหน้า แล้วมองศพบนพื้น ขณะคิดว่าจะอธิบายสาเหตุการตายของคนผู้นี้อย่างไร
อวี้ชิงลั่วกลับไปที่ป่าไผ่ นางลูบหน้าอกและหายใจออก “โชคดีที่ข้าไม่ใช่คนเดียวที่แอบฟังอยู่”
ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถเดินไปทางเรือนหลังเล็กได้อีกต่อไป ดังนั้นต้องพยายามออกไปทางอื่น
อวี้ชิงลั่วชำเลืองมองไปยังเรือนเล็ก แล้วมุดเข้าไปในป่าไผ่อีกครั้ง
เหมิงจื้อเฉิงจ้องมองศพในสถานที่นั้นด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินไปยังบริเวณที่ผู้อาวุโสเผ่าเหมิงผู้อยู่
เขารออยู่ตรงนี้นานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และชาในมือของผู้อาวุโสเผ่าเหมิงเปลี่ยนถ้วยที่สอง สีหน้าของหมอเฒ่าฉยงซานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขานั่งนิ่งอยู่ใต้แสงแดดร้อนระอุที่ยังคงแผดเผาอย่างโหดร้าย
เหมิงจื้อเฉิงเดินไปข้างผู้อาวุโสเผ่าเหมิงด้วยการเคลื่อนไหวที่เบามาก แล้วเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ”
“เอ๊ะ เจ้ามาแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสเผ่าเหมิงเหลือบมองเขา แล้วสั่งให้คนขยับเก้าอี้มาให้เขา แล้วกล่าวว่า “เจ้ามานั่งด้วยสิ มาดูกันว่าหมอเฒ่าฉยงซานจะอยู่ได้นานเพียงใด”
เหมิงจื้อเฉิงขมวดคิ้ว แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้บางคนในคฤหาสน์ไว้ใจไม่ได้ เมื่อสักครู่นี้…”
เขาเล่าเรื่องต่อ และผู้อาวุโสเผ่าเหมิงก็ตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ช่างบังอาจนัก เจ้าไปจัดการเรื่องนี้ ค้นหาว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
“ขอรับ” เหมิงจื้อเฉิงพยักหน้า แล้วหันหลังกลับออกไป
สุดท้ายผู้อาวุโสเผ่าเหมิงก็หมดความอดทน เขาเดินไปหาหมอเฒ่าฉยงซานและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร? จะรออยู่กลางแดดเช่นนี้จริง ๆ หรือ? ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม เหงื่อก็ไหลท่วมตัวแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”
“ฮึ่ม เจ้าเตรียมรอข้าพังคฤหาสน์ทั้งหลังได้เลย” หลังจากที่หมอเฒ่าฉยงซานพูดจบ เขาก็หลับตาลงและนั่งนิ่งอีกครั้ง
ผู้อาวุโสเผ่าเหมิงเย้ยหยัน “ได้ ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ แล้วข้าจะดูว่าเจ้าจะทนอยู่ได้นานเพียงใด”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปนั่งที่เดิม
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ทางเข้าป่าไผ่อีกครั้ง เป็นเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด นางก็ไม่น่าจะสามารถเดินออกมาได้
หมอเฒ่าฉยงซานต้องรอไปอีกนาน!!
ผู้อาวุโสเผ่าเหมิงบ่นอุบอิบ แล้วสั่งให้คนรับใช้เติมชาอีกสองครั้ง ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง เขามองไปยังดวงตะวันที่เริ่มคล้อยต่ำ ในใจของเขาคิดว่าอวี้ชิงลั่วอาจจะไม่สามารถออกจากค่ายกลนี้ได้
ช่างเถิด อีกหนึ่งชั่วยามค่อยให้อาเหอไปพาออกมาก็ได้ เกรงว่าหมอเฒ่าฉยงซานจะโกรธจริง ๆ และจะพังคฤหาสน์ของเขา
“ท่านประมุขตระกูล ท่านประมุขตระกูล แย่แล้วขอรับ”
ทันใดนั้นคนรับใช้ร่างผอมก็รีบวิ่งมาแต่ไกล พลางตะโกนด้วยความกระวนกระวายขณะวิ่ง
ผู้อาวุโสเผ่าเหมิงไม่พอใจเล็กน้อยกับความไม่สำรวม เกิดอะไรขึ้น? อะไรจะสำคัญไปกว่าการที่เขาได้ดูละครทดสอบหลานสะใภ้ของเขาอีก?
“เจ้าบ้า พูดมาดี ๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสีย”
คนรับใช้กำลังเหนื่อยแทบขาดใจ แต่เขายังพยายามพูดให้ชัดเจน แม้จะยังหายใจไม่ค่อยออก “ท่านประมุขตระกูล ตอน ตอนนี้แม่นางอวี้คนนั้นกำลังคุยกับคุณหนูอยู่ อีก อีกทั้งยังยุยงให้คุณหนูตัดป่าไผ่ และเผาห้องตำราของท่านประมุขตระกูล…”
!!
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แสบไหมล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดีคิดจะคุมตัวชิงลั่ว
ไหหม่า(海馬)