ตอนที่ 972 อวี้เป่าเอ๋อร์ถูกจับ
ตอนที่ 972 อวี้เป่าเอ๋อร์ถูกจับ
อวี้ชิงลั่วสูดหายใจลึก รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อมองดูสองสามคนนั้น นิ้วมือจับชีพจรของทุกคน สีหน้าเคร่งเครียดลง
“แม่นางอวี้ เขายังมีชีวิตอยู่ขอรับ” โม่เสียนเดินไปข้างกายของผู้พิทักษ์ทมิฬคนนั้นก่อน ถึงแม้เขาจะดูบาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีลมหายใจอ่อนๆ แสดงว่ายังมีชีวิตอยู่
อวี้ชิงลั่วรีบเดินไปที่ข้างกายของผู้พิทักษ์ทมิฬ ป้อนยาเข้าปากเขาโดยไม่กล่าวอันใด ยานั้นเข้าปากก็ละลายทันที อวี้ชิงลั่วเห็นว่าเขากลืนลงไปโดยไม่รู้สึกตัว ก็เริ่มช่วยจับชีพจรให้เขา
แต่แววตากลับค่อยๆ มืดมนลง สูดหายใจเข้าลึก “ไม่ทันแล้ว”
บาดเจ็บสาหัสเกินไป ไม่สามารถทำอันใดได้แล้ว
ผู้พิทักษ์ทมิฬผู้นั้นราวกับว่าได้ยินการเคลื่อนไหว ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วและโม่เสียนก็รีบรักษาลมหายใจเอาไว้ ยืดคอแล้วเอ่ยออกมา “แม่นางอวี้ นายน้อยอวี้ นายน้อยอวี้ถูกคนลักพาตัว ลักพาตัวไปขอรับ คนผู้นั้นมีวิชาสูงส่ง ทั้งยังมีอีกคน มีผู้พิทักษ์ทมิฬอีกคนไล่ตามไป พวกท่านรีบตามไป รีบไป…”
ทันทีที่สิ้นเสียงก็ยืดตัวเกร็ง ร่างกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงสู่อ้อมแขนของโม่เสียนอย่างอ่อนแรงและไม่หายใจอีก
อวี้ชิงลั่วนิ้วสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่น
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นทันที หันหน้ากลับไปกล่าวกับพ่อบ้านที่ขาอ่อนแรงจากความตื่นตระหนก “พ่อบ้าน ที่นี่ยกให้เป็นหน้าที่ท่านจัดการเสีย ช่วย…ฝังพวกเขาให้ดีเถิด และเก็บเรื่องการหายตัวของนายน้อยไว้เป็นความลับชั่วคราว ได้ยินหรือไม่?”
พ่อบ้านคนนั้นไม่เคยเห็นภาพที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน คนสี่คนตายไปตรงหน้าเพียงชั่ววูบเดียว เลือดสีแดงสดนั้นกระตุ้นดวงตาเขาเสียจนปวดไปหมด
แต่น้ำเสียงเฉียบคมของอวี้ชิงลั่วทำให้เขาได้สติกลับมาในทันใด เขารีบสงบสติอารมณ์ สูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างแรงสองครั้ง ถึงแม้ปลายจมูกยังเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด แต่อย่างไรก็ยังสงบขึ้นมาหน่อย
เขารีบพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ ข้าเข้าใจแล้วขอรับคุณหนูใหญ่”
อวี้ชิงลั่วไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป มองไปยังโม่เสียน “เราต้องรีบตามไป”
“ขอรับ” โม่เสียนวางร่างของผู้พิทักษ์ทมิฬลง รีบเดินตามคราบเลือดออกจากห้องตำราไป
ดูจากร่องรอยแล้ว พวกเขาออกจากห้องไปทางประตูหลังจวนอวี้ เส้นทางที่เดินไปก็เป็นเส้นทางห่างไกลและไม่มีคนเลยเช่นกัน
อวี้ชิงลั่วไม่มีวิชาตัวเบา นางรู้ดีว่าหากตนไปกับโม่เสียน จะเป็นตัวถ่วงเขาได้ง่ายๆ นางจึงให้ผู้พิทักษ์ทมิฬที่เย่ซิวตู๋ให้คอยคุ้มครองนางอย่างลับๆ ออกมา และช่วยโม่เสียนไล่ตามมือสังหารไป
อวี้ชิงลั่วไปที่โรงม้าแล้วนำม้าตัวหนึ่งออกมาแล้วตามร่องรอยไป แต่ถึงแม้นางจะคิดถึงสภาพที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว แต่เมื่อพบผู้พิทักษ์ทมิฬอีกคนที่คอยปกป้องอวี้เป่าเอ๋อร์อยู่ที่ชนบทล้มลงกับพื้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด
ตอนนี้คนตายไปแล้ว ในมือเขามีเพียงเศษผ้าที่ฉีกออกมาจากร่างของอวี้เป่าเอ๋อร์เท่านั้น ไม่หลงเหลือสิ่งใดนอกเหนือจากนั้นเลย
นิ้วของอวี้ชิงลั่วสั่นเล็กน้อย ผู้พิทักษ์ทมิฬเหล่านั้น ล้วนเป็นคนที่เย่ซิวตู๋ฝึกสอนมาด้วยตัวเอง ถึงแม้วิชาต่อสู้จะไม่ได้ยอดเยี่ยม เทียบไม่ได้กับเหล่าผู้อารักขาอย่างพวกโม่เสียน แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายต่อการรับมือ
แต่อีกฝ่ายกลับฆ่าคนสี่คนโดยที่คนในจวนอวี้ไม่รู้ตัวเลย หนึ่งในนั้นยังมีผู้พิทักษ์ทมิฬอีกด้วย
ตอนนี้…
อวี้ชิงลั่วยืนอยู่ข้างม้า รู้สึกลมหายใจติดขัดเล็กน้อย สีหน้าซีดเสียจนแทบไม่เห็นเส้นเลือดแม้แต่น้อย
หลังผ่านไปสิบห้านาที พวกโม่เสียนกลับมา เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่ว สีหน้าก็เคร่งเครียดทันที
“แม่นางอวี้ พวกข้าตามออกไปถึงสองลี้ มือสังหารกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยขอรับ” ในใจโม่เสียนเองก็โกรธเกรี้ยวอย่างมาก อวี้เป่าเอ๋อร์…เคยเรียนวรยุทธ์กับเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงแม้จะเรียนไปเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงในเวลาเพียงไม่นาน แต่ทั้งสองคนก็สนิทสนมกันอย่างไม่ธรรมดา ตอนนี้เขาถูกคนจับตัวไป เขาเองก็วิตกกังวลไปด้วย อยากจะจับมือสังหารแล้วช่วยคนออกมาให้ได้เป็นอย่างมาก
แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ ตลอดทางนี้พวกเขาตามรอยไป ส่วนใหญ่ล้วนเป็นร่องรอยที่ผู้พิทักษ์ทมิฬผู้นี้ทิ้งเอาไว้ ตอนนี้ผู้พิทักษ์ทมิฬตายอยู่ที่นี่ มือสังหารไร้ขวากหนามแล้ว การจะจับเด็กคนหนึ่งไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย
อวี้ชิงลั่วกัดฟันแน่น มือและเท้าเย็นเฉียบ
โม่เสียนมองนางอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย แม่นางอวี้ห่วงใยผู้คนมากมาย อวี้เป่าเอ๋อร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้อวี้เป่าเอ๋อร์ถูกจับตัวไปแทบจะใต้จมูกของนาง สามารถจินตนาการได้ถึงความเจ็บปวดใจของแม่นางอวี้ได้อย่างดี
“แม่นางอวี้ ตอนนี้ทำอย่างไรดีขอรับ?” แววตาของโม่เสียนมองไปยังผู้พิทักษ์ทมิฬที่นอนอยู่บนพื้น แววตาโกรธเกรี้ยว ฝีมือของอีกฝ่ายสูงมากเสียจนผู้พิทักษ์ทมิฬสองคนไม่มีใครรอดกลับมาเลย
อวี้ชิงลั่วสูดหายใจลึก กัดฟันแล้วกล่าวสองคำ “กลับตำหนัก”
“ขอรับ”
โม่เสียนรับคำ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ตกใจอย่างมากกับความดุร้ายในแววตาของอวี้ชิงลั่ว
เขาและอวี้ชิงลั่วได้รู้จักและใช้เวลาด้วยกันมาไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสีหน้าอาฆาตของนางเช่นนี้ ทำให้คนตระหนกไป
เมื่อสองสามคนกลับมาถึงตำหนักอ๋องซิว เย่ซิวตู๋ยังคงอยู่ที่วังหลวง ยังไม่กลับมา
เพียงหนานหนานเห็นร่างของนางก็วิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านน้าเป่าเอ๋อร์เล่า เขาอยู่ไหนหรือ? ไอ้หยา ท่านพ่อนี่ก็จริงๆ เลย ไม่ยอมให้ข้าออกไป ไม่อย่างนั้นข้าก็จะได้ไปรับท่านน้าเป่าเอ๋อร์ด้วย ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ไม่เห็นข้าแล้วผิดหวังมากหรือไม่? ข้าบอกแล้ว… ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ?”
เสียงพูดจาเจื้อยแจ้วของหนานหนานหยุดลงกะทันหัน เมื่อวิ่งมาถึงตรงหน้าอวี้ชิงลั่วก็เพิ่งพบว่าสีหน้าของอวี้ชิงลั่วดุร้ายเสียจนน่ากลัว
ในใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ รีบจับมือของอวี้ชิงลั่วเอาไว้ ถามเบาๆ “ท่านแม่ นี่… นี่เกิดเรื่องแล้วหรือ?”
บนโลกใบนี้ ไม่มีใครเข้าใจอวี้ชิงลั่วได้ดีเท่าหนานหนานอีกแล้ว
ครั้งก่อนที่ท่านแม่มีสีหน้าเช่นนี้ เป็นตอนที่มีคนมาทำร้ายตน แทบจะทำให้ชีวิตน้อยๆ ของตนต้องเสียไป
ตอนนี้ท่านแม่มีสีหน้าเช่นนี้อีกแล้ว ทั้งยังเป็นตอนที่ไปรับท่านน้าเป่าเอ๋อร์กลับมา ท่านน้าเป่าเอ๋อร์ก็ไม่อยู่ หรือว่า?
หนานหนานเบิกตากว้างในทันใด ตกใจกับความคิดในใจของตน
โม่เสียนมองอวี้ชิงลั่วแวบหนึ่ง ย่อตัวลงแล้วกล่าวกับหนานหนานเบาๆ “มีคนจับท่านน้าเป่าเอ๋อร์ของเจ้าไป ตอนนี้แม่ของเจ้าเป็นกังวลมาก เราอย่าไปรบกวนนางเลย…”
เขากล่าวจบก็จับมือของหนานหนาน อยากจะพาเขาเดินกลับไป
ใครจะรู้ว่าจะมีเสียงโกรธเกรี้ยวของอวี้ชิงลั่วดังมาจากด้านหลัง “หนานหนาน”
หนานหนานสะบัดมือของโม่เสียนออกทันที วิ่งกลับไปข้างกายอวี้ชิงลั่วด้วยสีหน้าจริงจัง ดึงนิ้วที่อ่อนนุ่มของนางอีกครั้ง กล่าว “ท่าแม่ ข้าจะไปช่วยเขา”
“บนตัวท่านน้าเป่าเอ๋อร์ของเจ้าไม่มีกลิ่นที่ต้าไป๋เหอและเสี่ยวไป๋เหอคุ้นเคย เจ้าหาตัวเขาไม่เจอหรอก”
หนานหนานขมวดคิ้ว “ท่านแม่ เช่นนั้นทำอย่างไรดี?”
อวี้ชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าว “เจ้านำหงหลินเยียนมาให้ข้า”
หนานหนานเบิกตากว้างอย่างสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างแรง “ท่านแม่ ท่านรอเดี๋ยว”
เขากล่าว ก่อนใช้เคล็ดวิชาฝ่าเท้าตระกูลลู่อย่างว่องไว จากนั้นก็หายตัวไป
โม่เสียนที่อยู่ด้านข้างฟังอย่างสับสนมึนงง หงหลินเยียนหรือ? นั่นมันคืออะไรกัน? เห็นสีหน้าของหนานหนานแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก
“แม่นางอวี้ หงหลินเยียน… เอาไว้ทำอะไรหรือขอรับ?”
อวี้ชิงลั่วไม่ตอบเขา เพียงแต่เงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หงหลินเยียนน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงแกะรอยที่ฝีมือเหนือกว่าต้าไป๋เหอกับเสี่ยวไป๋เหอล่ะมั้ง
ไหหม่า(海馬)