“ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนในราชสำนักที่กำลังจับตาดูเราอยู่!” สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง “เราจะตื่นตระหนกเพียงเพราะได้ยินข่าวลือเพียงเล็กน้อยไม่ได้ หากตื่นตระหนกก็อาจทำผิดพลาดได้ง่าย พอผิดพลาด พวกเขาก็จะจับจุดอ่อนของเรา เรื่องที่เราไม่ได้ทำก็อาจกลายเป็นเรื่องที่เราทำ” พูดจบก็หัวเราะออกมา “เราอยู่นิ่งๆ ดีกว่า ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เรายังคงไม่สั่นคลอน”
สืออีเหนียงแต่งงานเข้ามาในจวนหย่งผิงโหวตั้งหลายปีแล้ว มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เรื่องที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่สุดท้ายมันก็ทำให้เกิดความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่ สำหรับเรื่องของจิ่นเกอ นางพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องของการเมืองในราชสำนัก ยิ่งได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ นางจึงให้ความสำคัญกับเรื่องในราชสำนักมากกว่าเดิม
“ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ “ นางหยอกล้อสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวจะไม่ทำอะไรจริงหรือเจ้าคะ” สายตาของนางเป็นประกาย ทำให้นางดูขี้เล่น
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “อย่างน้อยก็ต้องทำให้คนอื่นเห็นว่าข้าไม่ได้ทำอะไร!”
นี่คือสวีลิ่งอี๋!
สืออีเหนียงยิ้มแผ่วเบา
สวีลิ่งอี๋บอกนาง “ช่วงนี้เจ้าดูจิ่นเกอให้ดี อย่าให้เขาออกไปข้างนอก ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจิ่นเกอ ข้ากลัวว่าจะมีคนคิดร้ายกับเขา”
สืออีเหนียงพยักหน้า อ้างว่าจะไปเยี่ยมไท่ฮูหยินสกุลกานแล้วพาจิ่นเกอไปด้วย
ตอนแรกจิ่นเกอยังพอทนไหว ท่านแม่คุยกับบรรดาพี่น้องเขาก็ยืนอยู่ข้างๆ เงียบๆ แต่ทุกคนกลับจับมือเขาแล้วถามสืออีเหนียงว่าเขาหมั้นแล้วหรือยัง และสายตาที่มองมาที่เขาของพวกนางราวกับคนหิวโหยที่มองของว่างในชาม มันทำให้เขาทนไม่ไหว
“ข้าอยากอยู่เตะลูกหนังที่จวนขอรับ” เมื่อสืออีเหนียงอยากพาเขาไปหาสือเอ้อร์เหนียง เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “องค์หญิงใหญ่บอกว่าหากเราแพ้ข้าต้องวิ่งรอบพระตำหนักซีย่วน ข้าไม่อยากวิ่งขอรับ!”
“ท่านน้าหญิงสิบสองเจอเจ้าครั้งล่าสุดเมื่อปีก่อน” สืออีเหนียงเกลี้ยกล่อมเขา “นางถามหาเจ้าทุกครั้งที่เจอกัน ตอนที่เจ้าได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ ท่านน้าเขยสิบสองของเจ้ายังส่งคนนำของขวัญแสดงความยินดีมาให้ด้วยตัวเอง เราจะได้ถือโอกาสไปขอบคุณท่านน้าหญิงสิบสองของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ไปได้อย่างไร”
“ประเดี๋ยววันที่สามก็ต้องเจอกันอยู่ดี เหตุใดต้องไปก่อนปีใหม่เล่า” จิ่นเกอไม่เห็นด้วย “ถึงตอนนั้นค่อยขอบคุณท่านน้าหญิงสิบสองก็ไม่สายขอรับ!” สายตาที่เยือกเย็นของสวีลิ่งอี๋มองมาที่เขา จิ่นเกอพลอยรู้สึกผิดขึ้นมา ค่อยๆ พูดเสียงเบาลง สุดท้ายก็พูดไม่ออก “ไปก็ได้ขอรับ แต่คารวะท่านน้าหญิงสิบสองเสร็จแล้วเราก็จะกลับจวนทันที ท่านแม่อย่าพูดคุยกันนาน พูดทีก็ไม่รู้จักจบสิ้น…”
“เหตุใดถึงพูดกับแม่ของเจ้าเช่นนี้” สวีลิ่งอี๋สีหน้ามืดครึ้ม “ไม่อยากไปมาหาสู่กับญาติพี่น้อง เช่นนั้นเจ้าอยากทำอะไร”
จิ่นเกอคิดว่าบิดากำลังเข้าใจผิด แต่เขาไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไรดี กลัวจะไปทำให้บิดานึกถึงเรื่องแต่งงานของตน…
“ข้าผิดเองขอรับ!” เขาขอโทษสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงที่มีความน้อยใจ “ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปโอบไหล่บุตรชาย จากนั้นก็พูดกับสวีลิ่งอี๋ “ใช่ว่าไม่อยากไปหาสกุลญาติกับข้า แต่เขากลัวคนอื่นเจอเขาก็เอาแต่ถามว่าหมั้นหมายแล้วหรือยัง” นางช่วยพูดแทนจิ่นเกอ
จิ่นเกอหน้าแดงก่ำ
สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วด้วยความฉงนใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นเกอของเราโตแล้ว!”
จิ่นเกอหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม พูดตะกุกตะกักว่า “ข้าไปดูของที่เตรียมไปให้ท่านน้าหญิงสิบสองดีกว่าขอรับ” จากนั้นก็วิ่งออกไป
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงหัวเราะเสียงดัง
จู่ๆ ม่านก็ถูกเปิดออก จิ่นเกอยื่นหน้าเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ข้าไม่อยากแต่งงาน ข้าอยากเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ขอรับ!” พูดจบก็ปิดม่านแล้ววิ่งออกไป
สืออีเหนียงปลื้มใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เจ้าหมอนี่ แต่งงานแล้วจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
*****
สืออีเหนียงและจิ่นเกอยังไม่กลับมาจากจวนของสือเอ้อร์เหนียง แต่เรื่องนี้กลับแพร่ไปทั้งจวน
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “จิ่นเกอของเราไม่เด็กแล้ว ควรพูดเรื่องแต่งงานได้แล้ว” จากนั้นก็พูดกับฮูหยินสอง “…ต้องเป็นคนนิสัยดี...หน้าตาไม่ขี้เหร่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ยุติธรรมกับจิ่นเกอ…แต่งภรรยาต้องแต่งภรรยาที่มีศีลธรรม สินสอดอะไรไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเป็นสกุลที่สะอาดบริสุทธิ์…ทางที่ดีต้องอายุเยอะกว่าเขาหนึ่งถึงสองปี เช่นนี้จะได้รู้จักสงสารเมตตาผู้อื่น…” ไท่ฮูหยินยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น อยากหาภรรยาให้จิ่นเกอเร็วๆ นางเรียกป้าตู้เข้ามา “ทันทีที่สืออีเหนียงกลับมา เจ้าไปเชิญนางมาหาข้า ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับนาง”
ฮูหยินสองยิ้มอยู่ข้างๆ “ใกล้จะปีใหม่แล้ว นางมีเรื่องที่ต้องจัดการตั้งมากมาย รอให้ผ่านวันที่สิบไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ เราก็จะได้ค่อยๆ ดูไปก่อน”
“ต้องรอให้ผ่านวันที่สิบไปก่อนเช่นนั้นหรือ!” ไท่ฮูหยินรู้สึกผิดหวัง “เหลืออีกตั้งยี่สิบกว่าวัน!”
“หากใจร้อนจะทานเต้าหู้ร้อนไม่ได้[1]นะเจ้าคะ!” ฮูหยินสองพูดด้วยรอยยิ้ม “หากหาคนอารมณ์ร้อนให้จิ่นเกอ อาจจะเสียใจภายหลัง ดูนางให้ดูแม่ หากมารดาเป็นคนเพียบพร้อมบุตรสาวก็ไม่มีทางแย่ มีเวลาตั้งยี่สิบกว่าวัน เรารวบรวมบุตรสาวของบรรดาฮูหยินที่เพียบพร้อมและอยู่ในวัยที่เหมาะสม ถึงตอนนั้นค่อยดูอย่างละเอียด จะได้ไม่ตาลายเจ้าค่ะ!”
“เป็นความคิดที่ดี!” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็มีชีวิตชีวา นางเรียกจื่อหงเข้ามาฝนหมึกแล้วพูดกับฮูหยินสอง “เรามารวบรวมกันเถิด!”
เรื่องแต่งงานของจิ่นเกอจะง่ายดายขนาดนั้นได้เช่นไร นางก็แค่ทำให้ไท่ฮูหยินมีความสุข
ฮูหยินสองยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” ถือพู่กันขึ้นมานั่งข้างโต๊ะเตียงเตา จากนั้นก็พูดถึงรากฐานของแต่ละสกุลกับไท่ฮูหยิน…
*****
ฮองเต้ไม่สนใจฎีกากล่าวโทษสวีลิ่งอี๋ คนของสำนักตรวจการณ์มองเห็นอะไรบางอย่าง บางคนคิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประณามผู้อื่น ไม่สมควรไปพูดในราชสำนักด้วยซ้ำ พวกเขาไม่พอใจ คนอื่นก็คิดว่ามันน่าเบื่อ บางคนก็คิดว่าหย่งผิงโหวไม่สนใจฎีกากล่าวโทษของสำนักตรวจการ พวกเขายิ่งไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ เนื้อหาของฎีกาก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางคนคิดว่าเขาไม่เห็นหัวใคร ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารสูงส่งกว่าหย่งผิงโหว เฉินปั๋วจือแค่อยากถือโอกาสสร้างความดีความชอบ ใช้หย่งผิงโหวเป็นหินรองเท้า ทำให้ตัวเองดูน่าเกรงขาม มีตำแหน่งที่สูงส่งในกรมขนส่งเสบียงอาหาร จึงเขียนฎีกากล่าวโทษเฉินปั๋วจือเช่นกัน บางคนก็คอยสังเกตสีหน้าของพวกเขา ทำเป็นประจบสอพลอ ทำเป็นหูหนวกตาบอด แล้วยังมีคนที่ยุยง เริ่มกระวนกระวาย ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรล้วนไม่มีใครรู้
ฟังจี้หันหน้ากลับมา หยิบถ้วยชาเครื่องเคลือบขาวขึ้นมาจิบ รสชาติที่กลมกล่อมทำให้เขาถอนหายใจด้วยความพอใจ “เหวินหมิง ต้องบอกว่าวิธีนี้ของบิดาของเจ้าฉลาดจริงๆ”
เหวินหมิงคือชื่อทางการที่อาจารย์เจียงตั้งให้สวีซื่ออวี้
แต่สวีซื่ออวี้ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนฟังจี้ “กลัวว่าเรื่องราวต่างๆ จะมารวมตัวกันช่วงกลางเดือนสอง หากข้าคิดไม่ผิด เฉินปั๋วจือจะกลับมารับตำแหน่งที่เยี่ยนจิง!”
ฟังจี้หัวเราะ “ข้าเลยบอกว่าบิดาของเจ้าไม่ธรรมดา แทนที่จะเสียน้ำลายกับคนของสำนักตรวจการณ์ตอนนี้ ไม่สู้รอให้เฉินปั๋วจือกลับมาเยี่ยนจิงก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
สวีซื่ออวี้ได้ยินเช่นนี้ก็พูดว่า “ฟังท่านพูดสิ พูดราวกับท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักตรวจการณ์เลยแม้แต่น้อย”
ฟังจี้ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
สวีซื่ออวี้แปลกใจ “ท่านจะโยกย้ายอย่างนั้นหรือ”
เขาพยักหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ทายสิว่าข้าจะไปไหน”
สวีซื่ออวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “หูก่วง!”
ฟังจี้ปรบมือ “เหวินหมิงฉลาดจริงๆ!”
“ท่านไม่ต้องมาประจบข้า!” สวีซื่ออวี้ยิ้ม “เลื่อนตำแหน่งที่นั่นหรือ”
“ถงจือเขตอู่ซัง”
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย” สวีซื่ออวี้ยกจอกสุราขึ้นมา “อีกเพียงก้าวเดียวก็เป็นขุนนางระดับหกแล้ว”
“ไปเป็นบิดาของราษฎร” ถึงแม้ฟังจี้จะดีใจ แต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่ง” หากอยากเลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่มีประสบการณ์การเป็นขุนนาง เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงเวลาสำคัญเจ้าคงต้องช่วยเหลือข้าด้วย!” เขาเห็นสวีซื่ออวี้เป็นสหาย จึงไม่เกรงใจสวีซื่ออวี้
“แน่นอนอยู่แล้ว” สวีซื่ออวี้หวังว่าหน้าที่การงานของฟังจี้จะราบรื่น “ข้าจะเขียนจดหมายไปให้พ่อสามีประเดี๋ยวนี้”
“ยังไม่ใช่เวลา” ฟังจี้ยิ้มแล้วพูดว่า “รอให้ตำแหน่งที่นั่นว่างค่อยว่ากัน”
“ก็ได้!” ในเมื่อฟังจี้มีแผนการของตัวเอง เขาจึงให้ความร่วมมือ สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงตอนนั้นท่านมาบอกข้าก็พอ”
ฟังจี้พยักหน้า จากนั้นก็พูดเบาๆ “…ดื้อรั้นคือหมากรุกที่ดี” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ความเกลียดชังก็มีประโยชน์เหมือนกัน”
สวีซื่ออวี้กุมมือ “ขอบคุณสหายฟัง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ฟังจี้ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมด พูดคุยกันจนฟ้าเริ่มมืด จากนั้นก็กลับจวน
สวีซื่ออวี้บ้วนปากจนรู้สึกว่าไม่มีกลิ่นสุราแล้ว จากนั้นก็ไปที่เรือนของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงพึ่งกลับมาจากจวนซุ่นอ๋อง สวีลิ่งอี๋สีหน้าปกติ แต่สืออีเหนียงที่ดื่มสุราไปนิดหน่อยกลับหน้าแดงราวกับลูกท้อก็ไม่ปาน
สองพ่อลูกไปพูดคุยที่ห้องปีกทิศตะวันออก
สวีซื่ออวี้บอกกล่าวถึงเรื่องของฟังจี้ สวีลิ่งอี๋แค่พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” ด้วยท่าทีเรียบเฉย สวีซื่ออวี้ผิดหวัง เขาโค้งคำนับและกำลังจะเดินออกไป เดินไปถึงหน้าประตู ก็ได้ยินท่านพ่อเรียกเขา “เหวินหมิง เจ้ารู้จักดูแลน้องชายตัวเอง ดีมาก!”
ท่านพ่อเรียกชื่อทางการของเขา…
สวีซื่ออวี้พลันน้ำตาคลอ สายตาของเขาเริ่มพร่ามัว
เขารีบก้มหน้าลง “ข้าเป็นพี่ มันคือหน้าที่ของข้าขอรับ” เขาโค้งคำนับแล้วรีบเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋นั่งเงียบอยู่หลังโต๊ะหนังสืออยู่นาน
*****
กลับมาที่เรือนก็เห็นบุตรชายที่กลับมาจากพระราชวังแล้วกำลังกระซิบกระซาบบางอย่างกับภรรยา “…เตะไปทางนั้นตั้งหลายครั้ง โชคดีที่ข้าฉลาด ไม่รับลูกหนัง ปล่อยให้ลูกหนังโดนหัวเจ้าหมอนั่น แต่ว่าองค์ชายแปดดวงกุดจริงๆ ขอรับ องค์หญิงใหญ่เบิกตากว้างราวกับจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว แต่เจ้าหมอนั่นนิสัยไม่เลวเลยทีเดียว ถูกลูกหนังเตะใส่ก็ไม่โกรธ แล้วยังหน้าตาหล่อเหลา ข้าเห็นองค์หญิงใหญ่หน้าแดงหลบอยู่ด้านหลังข้า ซ้ำยังพูดจาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ นางต้องชื่นชอบเขาอย่างแน่นอน!”
สืออีเหนียงกอดบุตรชายตัวเอง “เจ้ายังรู้จักเรื่องพวกนี้ด้วย?”
“ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อยขอรับ!” จิ่นเกอบ่นพึมพำ เมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อขอรับ ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่ส่งเสียงเล่า ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด! “
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “เจอฮองเฮาหรือไม่”
“เจอขอรับ!” จิ่นเกอนั่งลงข้างสืออีเหนียง เห็นบิดาจับจ้องที่ไหล่ของตัวเอง เขาก็ขยับตัวออกจากสืออีเหนียง “แล้วยังมอบเหรียญทองจอหงวนให้ข้าตั้งสี่เหรียญขอรับ บอกให้ข้าเข้าไปในพระราชวังวันที่หกอีกครั้ง”
[1]หากใจร้อนจะทานเต้าหู้ร้อนไม่ได้ สำนวนหมายถึง ต้องมีความอดทนรอคอยเพื่อที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จได้