ตอนแรกนางกังวลว่าการฆ่าคนจะส่งผลเสียต่อบุตรชาย
แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของคุณชายท่านนั้น นางก็รู้ว่านี่เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ นอกจากนางจะสามารถยืมมือคนอื่นมาทำเรื่องสกปรกแทนตัวเองได้แล้ว นางยังสามารถทำลายล้างตระกูลจางไปพร้อมกันได้!
นางไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นอะไรนางก็ยอมทำทั้งนั้น!
ยิ่งกว่านั้น คุณชายผู้ใจบุญนั้นก็ยังช่วยต่ออายุขัยให้กับนางอีกด้วย ดังนั้นนางจึงสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนเป็นได้ทั้งที่นางตายไปแล้ว นางใช้เวลากว่าสิบวันในการสังเกตเวลาที่จางอวี้กับหญิงสาวเหล่านั้นออกมาพบกัน ในระหว่างนั้นร่างกายของนางก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นนอกจากอาหลิง
แต่คนที่อยู่ตรงหน้านางกลับเดาออกว่านางตายไปแล้ว!?
หากเทียบกับความตกใจของแม่เฒ่าหวังแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูสงบเยือกเย็นเหมือนอย่างเคย ”แม่เฒ่าหวัง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองมีสภาพไม่ต่างจากคนเป็น เล็บของเจ้างอกยาวออกมาและเปลี่ยนเป็นสีดำไปแล้ว แล้วไหนจะยังรอยจ้ำเลือดที่อยู่บนใบหน้าของเจ้าอีก อาการเหล่านี้จะปรากฏขึ้นก็หลังจากคนเราตายไปแล้วเท่านั้น แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นเรื่องพื้นฐานอย่างการรับรู้อุณหภูมิเจ้าก็ยังไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้เพราะเจ้าเป็นแค่ซากศพ อีกทั้งเสื้อผ้าที่เจ้าสวมอยู่ก็ยังเป็นตัวเดียวกันกับตัวที่เจ้าสวมก่อนตาย”
ยิ่งแม่เฒ่าหวังได้ฟัง ดวงตาของนางก็ยิ่งเบิกกว้าง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่ออย่างไม่แยแสว่า ”ตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาได้ราวสี่สิบหรือห้าสิบวันแล้ว หวังหลิงเป็นลูกชายของเจ้า จึงไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่รู้ถึงสิ่งที่เจ้าคิด หรือไม่รู้ว่าเจ้าอันตรายเพียงใด แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามปรามเจ้า หรือต้องบอกว่าเขาไม่ได้ทุ่มความพยายามในการห้ามเจ้ามากนักเพราะในหัวใจเขา เขาก็อยากให้คนพวกนั้นตายเหมือนกัน”
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจับจ้องอยู่ที่หวังหลิงระหว่างที่นางพูด
เมื่อมาถึงขั้นนี้ หวังหลิงจึงถอดหน้ากากชายคนซื่อและเปี่ยมไปด้วยมารยาทออกในที่สุด เขาตะโกนขึ้นว่า ”คู่รักหน้าไม่อายสองคนนั้นมันก็สมควรตายแล้ว จางอวี้เอาแต่พึ่งอำนาจบารมีของตระกูล ส่วนจางหลิงเอ๋อร์ก็เป็นหญิงสำส่อนใจง่าย ผู้หญิงพวกนั้นไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่ดวงตาของพวกนางกลับมองเห็นแค่เงินทอง คนพวกนี้ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แม้แต่คนเดียว!”
“หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงกล้าฆ่าจางหลิงเอ๋อร์ แต่ไม่กล้าฆ่าจางอวี้ล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียดสี ”เห็นได้ชัดว่าเจ้าก็ยังกลัวเขาอยู่วันยังค่ำ มีคนแย่งคู่หมั้นของเจ้าไป แต่เจ้ากลับกลัวจนไม่กล้าทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว แทนที่จะลงมือ เจ้ากลับเอาแต่พึ่งแม่ตัวเอง และให้นางเป็นคนทำทุกอย่างแทนเจ้า ถ้าเจ้าเป็นลูกผู้ชายจริง เช่นนั้นก็จงทำชีวิตตัวเองให้ดี และแสดงให้ทุกคนได้เห็นสิ! ดูเจ้าสิ เจ้ารู้จักแต่การรังแกคนอ่อนแอกว่า เจ้าคิดจะฆ่าผู้หญิงทุกคนที่ดูถูกเจ้า และปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเจ้าหรือ เจ้าบอกว่าคนอื่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แล้วเจ้าล่ะ? ขยะที่ขี้เกียจและไร้ความรับผิดชอบอย่างเจ้ายังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เลย แล้วทำไมคนอื่นจะทำเหมือนกันไม่ได้ล่ะ”
ทุกอย่างที่หวังหลิงพูดมาล้วนแต่ถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยตอกกลับ ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แต่เขาก็ไม่สามารถสรรหาคำพูดมาโต้แย้งได้
คำว่าขยะเหมือนกับการตบหน้าเขาเข้าอย่างจังและยังทิ่มแทงความภาคภูมิใจในตัวเองของเขาอย่างมาก
หวังหลิงกำหมัดแน่น แล้วเอ่ยขึ้นทีละคำว่า ”ถ้าข้าเกิดในตระกูลจาง ป่านนี้ข้าก็คงได้เป็นจอหงวนไปนานแล้ว คงไม่ได้เป็นเหมือนในเวลานี้แน่!”
แม่เฒ่าหวังตกใจ แต่ไม่รู้ว่าเพราะจากข้อเท็จจริงที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด หรือจากปฏิกิริยาตอบสนองอันเหนือความคาดหมายของบุตรชาย อย่างไรบุตรชายของนางก็ไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่นางทำ เขาถึงกับเคยห้ามนางมาแล้ว แต่นางนึกไม่ถึงเลยว่าปราณแห่งความเคียดแค้นที่อยู่ในหัวใจของบุตรชายจะรุนแรงยิ่งกว่าของนางเสียอีก เขา… ไม่อยากได้นางเป็นแม่ตัวเองด้วยซ้ำ
มือของแม่เฒ่าหวังอ่อนปวกเปียก นางไม่เคยคิดเลยว่าบุตรชายจะมีความคิดเช่นนี้
รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งทวีความเย็นชาขึ้นอีก ”คนอย่างเจ้า ต่อให้เปลี่ยนชาติกำเนิดได้ เจ้าก็ยังเป็นได้แค่จางอวี้คนที่สองเท่านั้น แม่ของเจ้าทุ่มเททำถึงเพียงนี้ก็เพื่อใครหรือ แต่เจ้า เจ้ามันก็แค่คนอกตัญญูคนหนึ่งเท่านั้น”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด ใบหน้าของหวังหลิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขามองออกว่าผู้เป็นมารดากำลังรู้สึกเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงรีบแก้ตัว ”ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…”
แม่เฒ่าหวังส่ายหน้า น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของนาง ”ลูกแม่ แม่ไม่โทษเจ้าหรอก เจ้าพูดถูก ถ้าเจ้าเกิดในตระกูลจาง เจ้าก็คงไม่เป็นอย่างที่เจ้าเป็นในวันนี้ แม่ขอโทษที่แม่ไม่มีเงินมากพอที่จะสร้างเส้นสายเพื่อเบิกทางให้เจ้า แม่…”
น้ำเสียงของแม่เฒ่าหวังสั่นเครือ นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้า ไหล่ของนางสั่นเทา
“แม่เฒ่าหวัง เมื่อไหร่เจ้าถึงจะหยุดหาข้ออ้างให้กับความเหลวไหลของลูกชายเสียที” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางอย่างเฉยชา ”ความจริงแล้วเจ้ารู้ดียิ่งกว่าใครว่าทำไมลูกชายตัวเองถึงกลายเป็นคนเช่นนี้ และยังรู้อีกด้วยว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ช่างไร้ประโยชน์ สู้เขาออกไปหางานสอนหนังสือแทนเสียคงจะดีกว่า แต่แค่นี้คนรอบข้างก็ดูถูกเขามากแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าถ้าเจ้ายอมแพ้ในตัวเขาไปอีกคน เขาจะเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหลอกตัวเองและคนอื่นๆ มาจนถึงตอนนี้”
แม่เฒ่าหวังไม่ตอบ แต่กลับร้องไห้หนักยิ่งขึ้น
น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่เปลี่ยนแปลง ”เจ้าต้องการแก้แค้นทุกคน เจ้าจะทำอะไรกับจางหลิงเอ๋อร์และจางอวี้ก็ได้ แต่เจ้ากลับคิดที่จะฆ่าผู้หญิงคนอื่นไปด้วยเพียงเพราะพวกนางปฏิเสธที่จะแต่งงานกับบุตรชายของเจ้า แม่เฒ่าหวัง เจ้าไม่มีบุตรสาวก็จริง แต่ถ้ามีใครสักคนปฏิบัติกับบุตรสาวของเจ้าเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกยินดีกับมันหรือ เลิกเห็นเพียงบุตรชายตัวเองเป็นลูก จนมองไม่เห็นลูกของคนอื่นเสีย บนโลกนี้ไม่มีใครติดค้างอะไรเจ้าหรอก”
คำพูดสุดท้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้แม่เฒ่าหวังทรุดลง และแล้วสีหน้าดุร้ายบนใบหน้าของนางก็เลือนหายไป เหลือไว้แต่เพียงเสียงอ้อนวอนว่า ”ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง แต่เจ้าช่วยไว้ชีวิตบุตรชายข้าได้หรือไม่ เขาไม่ได้ทำอะไร และต่อให้เขาจะคิดเช่นนั้นจริง แต่พวกมันก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น เขาไม่ได้ทำร้ายใครเลย คนที่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายนี้มีแค่ข้าเพียงคนเดียว ดังนั้นคนที่สมควรตกนรกก็คือข้า”
“ได้” แววตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ”แต่บาปกรรมของเจ้าจะไม่มีวันได้รับการให้อภัย และพวกข้าจะทำในทุกสิ่งที่ควรทำ!”
แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะตระกูลจางเอาแต่ใช้อำนาจบารมีของตัวเองข่มเหงรังแกคนอื่น และไม่ใช่เพราะคำพูดยั่วยุที่แม่เฒ่าจางพูดในวันนั้น โศกนาฏกรรมก็คงไม่พัฒนามาจนถึงขั้นนี้
แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์
ต้องมีใครชดใช้ให้กับการตายของหญิงสาวเหล่านั้น
แม่เฒ่าหวังพยักหน้าพลางกลั้นน้ำตา ”ข้ารู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้า ข้าเสียใจเรื่องหญิงสาวพวกนั้น ทุกคนเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในถนนเส้นเดียวกันกับข้า ข้าไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงข้าให้ทำตัวโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น”
แม่เฒ่าหวังร้องไห้เสียงดังขึ้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความโศกเศร้า ”พวกนางอยู่ในทางลับด้านหลังข้า หลิ่วเอ๋อร์เป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่เหลือ…” นางสะอื้น ”ข้าทำผิดไป ข้าทำพลาดไปจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังที่แม่เฒ่าหวังพูด และหลังจากปล่อยตัวหวังหลิง นางก็เดินตรงไปที่นั่นแล้วยื่นมือออกไป เมื่อเลิกม่านขึ้น ภาพของศพสามศพที่ห้อยอยู่ตรงนั้นก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาของนาง
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์นั่งอยู่กลางซากศพเหล่านั้น นางยังสวมชุดแต่งงานอยู่ สีของชุดแต่งงานชุดนั้นเป็นสีเดียวกันกับเลือดที่ไหลออกมาจากร่างมนุษย์ เพียงแค่มองก็ทำให้คนที่เห็นรู้สึกอึดอัดอย่างมาก สัญชาตญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยบอกนางว่าชุดแต่งงานชุดนี้มีอะไรมากกว่าที่เห็น…