“เกิดอะไรขึ้นกับชุดแต่งงานตัวนี้” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปถามแม่เฒ่าหวัง
แม่เฒ่าหวังตอบด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ”ข้าเห็นว่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นัก จึงอยากให้นางแต่งงานกับอาหลิง แต่นางไม่ยอม ข้าก็เลยบังคับให้นางสวมชุดแต่งงาน”
“ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองชุดแต่งงานที่อยู่บนตัวของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ และจากนั้นดวงตาของนางก็ดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย ”ข้าอยากรู้ว่าชุดแต่งงานตัวนี้มีความเป็นมาอย่างไร มันดูผิดปกติอย่างไรชอบกล”
ความประหลาดใจวาบขึ้นในดวงตาของแม่เฒ่าหวัง นางหัวเราะอย่างขมขื่น ก่อนตอบว่า ”ชุดนี้ไม่ใช่ชุดแต่งงานธรรมดา ข้าเป็นคนเย็บมันเองกับมือ ข้าทำตามคำแนะนำที่คุณชายคนนั้นบอก ไปซื้อผ้าขาวมาแล้วย้อมมันด้วยเลือดจากสาวบริสุทธิ์ คุณชายท่านนั้นบอกว่าตราบใดที่คู่บ่าวสาวสวมชุดแต่งงานตัวนี้ร่วมพิธีจนเสร็จสิ้น ฝ่ายหญิงจะตกหลุมรักฝ่ายชายไปตลอดชีวิต และจะไม่มีทางทอดทิ้งเขาไป”
เมื่อได้ฟังที่นางพูด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยุดเดิน จากนั้นนางจึงหันไปสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ต้นตอที่แท้จริงที่ปราณแห่งความเคียดแค้นมารวมกันก็คือชุดแต่งงานนี้นี่เอง
ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้ตายอย่างสงบ วิญญาณของพวกนางเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและถูกกักขังอยู่ในชุดแต่งงานชุดนี้
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้วิญญาณคนตายที่ผ่านมาใกล้พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
เมื่อวิญญาณคนตายเข้าใกล้บริเวณนี้มากเกินไป พวกมันจะติดเชื้อ
แต่อาการนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะพวกมันไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนี้โดยตรง ปราณแห่งความเคียดแค้นจะใช้เวลาฟักตัวอยู่ราวสองวัน แล้วจากนั้นวิญญาณที่ติดเชื้อก็จะนำเชื้อนี้ไปแพร่ให้กับวิญญาณดวงอื่นๆ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราชาแห่งนรกถึงได้คิดที่จะปิดยมโลก หากยังตามหาต้นตอของการติดเชื้อไม่เจอ ในแต่ละวันย่อมมีวิญญาณติดเชื้อเป็นจำนวนมหาศาล
การกำจัดปราณแห่งความเคียดแค้นนี้มีแต่จะต้องทำลายต้นตอของมันเท่านั้น
แต่ที่เลวร้ายที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์สวมชุดแต่งงานตัวนั้นอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มั่นใจว่าเวลานี้ เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยังคงเป็นคนเดิมอยู่หรือไม่
มันมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ปราณแห่งความเคียดแค้นบนชุดแต่งงานชุดนั้นจะแทรกซึมเข้าไปในร่างของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์แล้ว
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป…
นางไม่รู้ว่าว่าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ถูกวิญญาณสิงอยู่หรือไม่ เพราะที่นี่ยังมีคนที่สวมชุดแต่งงานอยู่อีกคนหนึ่ง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมองหวังหลิง!
ความคิดของนางยังคงเฉียบคมและแม่นยำแม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้
การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน
ในเมื่อเหยียนหลิ่วเอ๋อร์สวมชุดเจ้าสาวอยู่ ดังนั้นหวังหลิงก็จะต้องสวมชุดเจ้าบ่าวอยู่เช่นกัน!
ในสองคนนี้ จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่แปดเปื้อนปราณแห่งความเคียดแค้นแล้ว
วิญญาณร้ายมักจะเจ้าเล่ห์กว่ามนุษย์ โดยเฉพาะวิญญาณร้ายที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิญญาณหลายดวง
พวกมันคงไม่ยอมอยู่ในชุดแต่งงานอย่างว่าง่าย แล้วรอให้นางจับพวกมันเผาแน่
ตอนที่นางรู้สึกตัวว่าชุดพวกนี้ดูมีบางอย่างผิดปกติ วิญญาณร้ายก็คงสิงร่างของใครสักคนไปแล้ว
อันที่จริงนางสามารถกำจัดปราณแห่งความเคียดแค้นได้โดยง่ายด้วยการเผาชุดแต่งงานและฆ่าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์กับหวังหลิง แค่นี้ก็สามารถชำระล้างทุกสิ่งได้อย่างหมดจด
แต่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่านางถูกสิงหรือไม่เช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่มีสิทธิ์ตัดสินชะตาของหญิงสาวจิตใจดีงามเช่นนี้
ยิ่งกว่านั้น นางก็ไม่มีแก่ใจที่จะลงมืออีกด้วย
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางต้องรู้ให้ได้ว่าวิญญาณร้ายจากชุดแต่งงานชุดนี้สิงใครอยู่กันแน่
เป็นหวังหลิง… หรือว่าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์?
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดมองไปทั่วร่างของทั้งสองอย่างละเอียด
จากนั้น นางก็พยายามปลุกเหยียนหลิ่วเอ๋อร์
วิธีการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้นั้นไม่ได้อ่อนโยนเลยแม้แต่นิดเดียว
โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ นางจึงไม่คิดที่จะยั้งมือ
ทันทีที่คว้าน้ำเย็นที่อยู่บนโต๊ะได้ นางก็สาดมันใส่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว
นี่เป็นวิธีปลุกคนอย่างเร่งด่วน
วิธีนี้ไม่ใช่แค่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถประหยัดเวลาได้ แต่ยังสามารถทำให้นางตรวจสอบได้อีกด้วยว่าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ถูกสิงอยู่หรือไม่
เพราะต่อให้คนเราจะหลับลึกขนาดไหน แต่ประสาทสัมผัสใต้ผิวหนังก็จะยังคงตื่นตัวอยู่เสมอ
ถ้าถูกน้ำเย็นสาดเข้าขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่น ก็มีโอกาสสิบส่วนที่นางจะมีปัญหา
แต่ถึงนางจะตื่นขึ้นมา ก็ใช่ว่านางจะหลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปได้ เพราะการกระทำนั้นอาจเป็นการแกล้งทำก็เป็นได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง นางไม่อยากพลาดสีหน้าของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์แม้แต่นิดเดียว
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงออกมาเล็กน้อย จากนั้นนางจึงลืมตาขึ้น ทันทีที่นางเห็นแม่เฒ่าหวัง นางก็มีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด นางรีบถอยกรูดไปด้านหลังอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดว่า ”อย่าเข้ามานะ! ออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”
แม่เฒ่าหวังเอ่ยปากขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา ”หลิ่วเอ๋อร์ ข้าทำให้เจ้าผิดหวัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเงียบและสังเกตเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ต่อ
ตอนนั้นเอง เหยียนหลิ่วเอ๋อร์จึงสังเกตเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ”ท่าน เป็นท่านนั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย…” เมื่อนางเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็เผยสีหน้าโล่งอกออกมา ”ดีจริงๆ ที่ท่านทั้งสองมาช่วยข้า!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำตอบ แต่จากนั้นนางก็สั่งพวกเขาอย่างคาดไม่ถึงว่า ”หวังหลิง เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ ถอดชุดแต่งงานของพวกเจ้าออกเสีย”
สีหน้าของหวังหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ”เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าใส่ชุดแต่งงานอยู่” เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาไปเปิดประตู เขาตั้งใจสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาทับเอาไว้แล้ว ไม่น่าจะมีใครมองเห็นว่าเขาสวมอะไรอยู่ใต้นั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขา ”เมื่อมีเจ้าสาวก็ต้องมีเจ้าบ่าวเสมอ ทำไม เจ้าไม่อยากถอดมันออกหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นว่าทำไมเจ้าถึงอยากให้พวกเราถอดชุดแต่งงานออก” หวังหลิงหัวเราะอย่างเย็นชา ”ถ้าเจ้าอยากสอบปากคำพวกเรา เจ้าก็สามารถจับพวกเราไปขังไว้ที่ศาลาว่าการได้ แต่เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้าถูกส่งมาตรวจสอบคดีนี้จริงหรือเปล่า”
แม่เฒ่าหวังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทันทีที่ได้ยินบุตรชายพูด นางก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความสงสัย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขามากนัก แทนที่จะทำเช่นนั้น นางกลับเดินเข้าไปยืนข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ววางมือลงที่ช่วงเอวของเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ห้ามนาง ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้น เขาดูหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ
แม้จะคลำหาอยู่หลายครั้ง แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่เจออะไรสักอย่าง นางเริ่มสงสัยว่าเขาลืมพกป้ายอาญาสิทธิ์ของตัวเองมาหรือเปล่า
จากนั้นชายหนุ่มจึงคลี่นิ้วเรียวสวยของตัวเองออกอย่างใจเย็นด้วยท่าทางสง่างาม เขาถามเสียงดังฟังชัดว่า ”เจ้ากำลังหาสิ่งนี้อยู่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงฮึดฮัดตอบ ก่อนเอ่ยว่า ”ทำไมท่านไม่บอกข้าก่อนล่ะว่าป้ายอาญาสิทธิ์อยู่ในมือท่าน”
“ก็เห็นเจ้ากระตือรือร้นถึงเพียงนั้น แล้วข้าจะไปกล้ารบกวนฮูหยินได้อย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยสองสามคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ”อย่างไรคนที่รับเงินจากเจ้ามามากมายก็เป็นข้า ดังนั้นข้าจึงต้องทำตามกฎที่ตั้งไว้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
กฎที่ตั้งไว้กับผีน่ะสิ!
เขากำลังหาทางใช้วิธีอื่นเพื่อเอาเปรียบนางอยู่เห็นๆ!
ไร้ยางอาย ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำกับองค์ชาย เพราะบนโลกนี้ไม่มีใครชั่วร้ายได้เท่าเขาอีกแล้ว
เขายกมือขึ้นแสดงป้ายอาญาสิทธิ์ให้หวังหลิงเห็นด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก ”เจ้าเองก็เป็นบัณฑิต ดังนั้นก็น่าจะจำอักษรที่อยู่บนนี้ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดกับเขา
เมื่อเห็นป้ายสีทองที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาของหวังหลิงก็เบิกกว้างในทันใด สายตาที่เขาใช้มองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน!
นั่นเป็นเพราะว่าบัณฑิตทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องที่ครั้งหนึ่งอดีตฮ่องเต้เคยพระราชทานป้ายทองคำให้กับองค์ชายสาม ป้ายแผ่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ขององค์ชายสามเท่านั้น แต่มันยังมอบสิทธิ์บางประการให้กับเขาอีกด้วย บนป้ายนั้นมีคำว่า ’เห็นป้ายดั่งเห็นฮ่องเต้’ ถูกเขียนเอาไว้!