บทที่ 3 คริสตัลลึกลับ
ณ ดินแดนกังหลันที่กว้างใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการจับจ่ายซื้อของ เหล่าภาคีร้านแลกเงินหลายแห่งทั่วแผ่นดินใหญ่นั้น ตกลงที่จะตั้งกฎเกณฑ์การแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ให้เป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก โดยตกลงกันอย่างเป็นทางการว่า หนึ่งร้อยเหรียญทองแดงจะเท่ากับหนึ่งเหรียญเงิน หนึ่งร้อยเหรียญเงินจะเท่ากับหนึ่งเหรียญทอง และหนึ่งร้อยเหรียญทองเท่ากับหนึ่งเหรียญทองม่วง และตระกูลธรรมดาทั่วไปเพียงแค่ 30 เหรียญเงินต่อปีก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่อัตคัด
ในด้านของหลินเว่ย หลังจากกลืนขนมปังข้าวไรย์ด้วยความยากลำบาก จากนั้นหลินเว่ยก็รีบดื่มน้ำตามทันทีเพื่อไม่ให้ติดคอ เนื่องจากขนมปังทั้งแข็งและจืดชืด หลังจากพออิ่มพอหลินเว่ยก็รีบปีนขึ้นไปบนเตียง ถอดเสื้อผ้าทิ้งกระจัดกระจายและตรวจดูบาดแผลที่บริเวณหน้าอก
หลังจากที่หลินเว่ยมองลงไปที่หน้าอกของเขา พบรอยเท้าขนาบไปที่ลำตัวเป็นรอยจาง ๆ แต่บาดแผลรอยเท้านั้น กลายเป็นสีม่วงเข้มช้ำ ๆ หลินเว่ยลองทดสอบโดยการ เอามือไปแตะที่บาดแผลและรู้สึกสะดุ้งจนตัวโยน เนื่องจากอาการเจ็บปวดแล่นขึ้นสมองอย่างรวดเร็ว หน้าผากของหลินเว่ยมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาไม่ขาดสาย
หลังจากนั้นไม่นานหลินเว่ยก็ไม่ได้แตะบาดแผลอีกต่อไป ไม่นานนักร่องรอยความเจ็บปวดค่อย ๆ ซาลงไป หลินเว่ยหายใจเข้าออกช้า ๆ และเอื้อมมือไปปาดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนเอง ก้มตัวสวมใส่เสื้อผ้าอีกครั้ง แล้วล้มตัวลงนอนอย่างเงียบ ๆ เขาเอนร่างพิงหัวเตียง พลางหยิบก้อนหินสีดำขึ้นมาดูอย่างพินิจพิจารณา
มันเป็นหินที่แปลกประหลาด มีขนาดเท่ากับนิ้วก้อยของผู้ใหญ่ ดูเหมือนว่าจะถูกสกัดออกมาจากหินก้อนใหญ่ มีลักษณะสีดำ เมื่อยามกลางวันที่หลินเว่ยทิ้งหินไว้บนโต๊ะและถูกแสงแดดส่องลงมามันก็ดูปกติ ไม่มีความแปลกประหลาดแต่อย่างไร ดูเป็นคริสตัลธรรมดาอย่างที่เคยเห็นดาษดื่นทั่ว ๆ ไปตามร้านข้างทาง
“นี่มันคืออะไรกัน…. ดูดี ๆ แล้วเป็นแค่คริสตัลแตก ๆ และคุณภาพระดับต่ำไม่คุ้มค่า หากว่าเขาจะนำไปแลกที่ร้านแลกเงินหรือโรงจำนำ แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่จะฝังคริสตัลพวกนี้ ลงในเข็มขัดหนังเพื่อประดับประดา” หลินเว่ย บ่นพึมพำกับตัวเอง
ขณะที่หลินเว่ยจับจ้องก้อนหินสีดำ ๆ อย่างละเอียดราวกับอยากจะค้นพบความพิเศษของมัน
คริสตัลเป็นแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับเมตาคริสตัล สามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน มีคุณภาพปานกลางไปจนถึงมูลค่าสูง สำหรับคริสตัลคุณภาพระดับต่ำนั้น สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ผู้คนที่อาศัยในเขตเมืองนั้นสามารถสร้างเครื่องประดับหลาย ๆ อย่าง ที่ทำมาจากคริสตัลคุณภาพต่ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย บางส่วนนั้นเป็นสินค้าที่ด้อยคุณภาพที่ไม่สามารถนับเป็นคริสตัลระดับต่ำได้เลยด้วยซ้ำ นั่นคือคริสตัลจำพวกหินธรรมดาๆ ไม่มีราคาค่างวดอะไร ตามถนนหนทางและบ้านบางหลังที่อยู่ในเขตเมือง มักจะถูกสร้างด้วยคริสตัลที่ด้อยคุณภาพเหล่านี้
เดิมที่หลินเว่ยคิดว่ามันเป็นอัญมณีที่มีค่ามาก แต่หลินเว่ยไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นคริสตัลที่ด้อยคุณภาพเช่นนี้ อารมณ์ตื่นเต้นแต่เดิมของหลินเว่ยลดลงอย่างมาก เขาพยายามจ้องมองอย่างถี่ถ้วนว่าคริสตัลสีดำนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เขาเผลอหยิบขึ้นมาจากพื้นถนน โดยไม่รู้และเข้าใจผิดว่ามันตกลงมาจากเข็มขัดหนังของนายน้อยคนนั้น
หลังจากมองดูเป็นเวลานาน หลินเว่ยรู้แล้วว่ามันเป็นแค่คริสตัลที่ด้อยคุณภาพธรรมดา ๆ ทั่วไป หลินเว่ยสิ้นหวังและล้มเลิกการจ้องมองคริสตัล เขาพ่นลมหายใจและวางแผนกับตัวเอง เพื่อที่จะพักรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเวลาสองสามวัน เมื่ออาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วเขาจะออกไปตามหาคนที่ช่วยดูคริสตัลนี้เพื่อยืนยันอีกครั้ง
ภายในใจหลินเว่ยนั้นวางแผนที่จะเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและกลับไปนอนสักพัก เขาหวังว่าการนอนจะสามารถช่วยบรรเทาความหิวโหยและอาการบาดเจ็บของเขาได้ อย่างไรก็ตามหลินเว่ยไม่เคยคิดเลยว่า โชคชะตาชีวิตของเขานั้นจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
เมื่อหลินเว่ยตัดสินใจจะเข้านอน เขาก็ตัดสินใจลองแลบลิ้นและเลียไปที่หินสีดำในมือของเขาด้วยความคึกคะนอง หลังจากแลบลิ้นไปสัมผัสกับหินสีดำ ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บแปลบชาจากปลายลิ้นของเขา เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก หลินเว่ยถ่มน้ำลายลงบนพื้น เขาพบว่ามีเลือดปนออกมากับน้ำลายของเขา หลินเว่ยจึงจ้องไปที่หินสีดำในมือทันที เขาพบว่าหินนั้น มีร่องแหลมคมอยู่บนผิวสัมผัสของก้อนหิน และถึงคราวโชคร้ายหลินเว่ยแลบลิ้นเลียหินไปถูกร่องแหลมคม จนทำให้ลิ้นมีบาดแผลและเลือดไหลซึมออกมาปะปนกับน้ำลาย
โดยที่หลินเว่ยไม่ทันจะรู้สึกตัวอยู่ ๆ ภายในใจของหลินเว่ยปรากฏความซาบซ่านพลุ่งพล่านอยู่ภายใน ลมหายใจของหลินเว่ยค่อย ๆ พ่นออกมาอย่างช้า ๆ ราวกับไร้ความรู้สึก หลังจากนั้นไม่นานหลินเว่ยก็หมดสติไปทันที
หลินเว่ยหมดสติไปพักใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ฟื้นขึ้นมา ในขณะที่ฟื้นขึ้นมาหลินเว่ยก็รู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศรอบตัวและพึมพำกับตัวเองว่า “เอ๊ะ! ข้าจำได้ว่าตอนนี้ข้ากำลังจะเข้านอน เหตุใดจึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร? หรือว่าข้าจะฝันไป?”
เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่ ไม่มีอะไรเลยนอกจากหินสีแดงสดรอบตัวเขา แม้แต่พืชเพียงไม่กี่ต้นก็มีสีแดงสด เมื่อเห็นทั้งหมดนี้หัวใจของหลินเว่ยก็ตึงเครียด
“บัดซบ!ข้าตายไปแล้วหรือไม่? ที่นี่มันคือนรกภูมิ? “เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินเว่ยก็ยื่นมือขวาออกอย่างรวดเร็วและหยิกแขนซ้ายตัวเองทันที อย่างไรก็ตามเขาพบว่าตนเองนั้นไร้ความรู้สึกใด ๆ ในขณะนี้
“ตายแล้ว…..ข้าตายแล้วแน่ๆ!” หลินเว่ยตกตะลึงพรึงเพริดจิตใจกระสับกระส่ายและสติเตลิดเปิดเปิง
“ไม่…..ข้าไม่เชื่อ…..มันเป็นแค่ความฝัน มันเป็นแค่ความฝัน ข้ายังไม่อยากตาย” หลินเว่ยที่คิดว่าตนเองนั้นตายไปแล้ว สูญเสียการควบคุมอารมณ์และจมดิ่งลงไปในความบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นไม่นานหลินเว่ยก็ถอนหายใจและนั่งลงบนพื้น ในเวลานี้เกิดเสียงคำรามดังขึ้นบนศีรษะของเขา ซึ่งมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของอากาศที่เสียดสีและเริ่มดังมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า อย่างทุลักทุเล ตอนแรกหลินเว่ยไม่พบอะไร
แต่ในเวลาสั้น ๆ เขาเห็นจุดสีดำเล็ก ๆ ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินเว่ยก็กุลีกุจอลุกขึ้นเพื่อที่จะหาที่หลบซ่อน แต่เขาจำได้ว่าตนเองนั้นตายไปแล้ว ฉะนั้นเขาจะไม่มีทางตายได้อีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หลินเว่ยก็ปล่อยวางความคิดที่จะหาที่หลบซ่อน และรอคอยการมาถึงของจุดสีดำ ๆ อย่างเงียบ ๆ
ไม่นานนัก ท้องฟ้าซึ่งมืดสลัว..ก็ยิ่งมืดสนิทขึ้น เงาดำขนาดใหญ่ปิดกั้นแสงสว่างไปจากสายตาของหลินเว่ยไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเสียงคำรามมันดังอยู่ไม่ไกลจากหลินเว่ยเป็นที่น่าแปลกใจ ในระหว่างการโผลลงสู่พื้นดินของเงาดำ หลินเว่ยได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิวและเสียงของหนัก ๆ ที่ตกลงมาที่พื้น แต่ตัวเขานั้นไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย แม้กระทั่งผมสักเส้นก็ไม่มีการปลิว
เมื่อเงาดำใหญ่นั้นลงสู่พื้นดินได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง หลินเว่ยสามารถมองเห็นการปรากฏของเงาร่างนั้นได้อย่างชัดเจน เขาตกใจและร้องว่า “นี่มัน …เหวอ…..นี่ไม่ใช่มังกรในตำนานหรอกหรือ?”
ใบหน้าของหลินเว่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง แต่ภายในใจของหลินเว่ยก็เต็มไปด้วยความสนใจและลอบสังเกตอย่างระมัดระวัง
ตั้งแต่เขายังเด็ก ๆ สิ่งที่เขาได้ยินจากคนอื่นมากที่สุด ก็คือเรื่องมังกรที่ทรงพลังมากและหากใครได้ครอบครอง ชีวิตจะมีความมั่นคงและมั่งคั่ง ดังนั้นเขาคุ้นเคยกับเรื่องเล่าของมังกรมาเนิ่นนาน แต่ไม่มีโอกาสได้ตามหาความจริง ตามที่คนอื่น ๆ พูดกัน
ตอนนี้เขานั้นมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า นี่คือมังกรดำขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเกล็ดสีดำมันเลื่อม ของมัน ดูจากสายตาสามารถบอกได้ว่านี่คือมังกรยักษ์สีดำที่โตเต็มวัย
“ทำไมกัน! นั่นคือมนุษย์หรือไม่?” เมื่อหลินเว่ยมองสังเกตมังกรดำ จากด้านล่างขึ้นไป ด้านบนของร่างมังกร หลินเว่ยพบว่ามีร่างในชุดคลุมยืนอยู่บนศีรษะของมังกรดำ
ภายใต้การจ้องมองของหลินเว่ย ร่างนั้นเดินลงมาจากส่วนหัวของมังกรดำและเดินตรงไปที่หลินเว่ย ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้หลินเว่ย เขาก็รู้สึกกังวลใจและคิดมาก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไรเขาหรือไม่?
Related