บทที่ 6 สัตว์อสูร
ภายในใจของหลินเว่ยสับสน มีคำอธิบายหลายคำมากมาย แต่โชคดีที่เป็นคำอธิบายอย่างง่าย ๆ ฝีมือปัจจุบันของเขานั้นยังอยู่ในระดับต่ำ หากต้องการที่จะพัฒนาฝีมือ จะต้องเพิ่มระดับโดยการเพิ่มหน่วยพลังงานที่ระบุเอาไว้ แต่หลินเว่ยนั้นไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่? อย่างไรก็ตาม ในความคิดของเขาคาดว่ามันน่าจะต้องใช้แก่นคริสตัลหรือหินพลังหยวนซึ่งมีพลังงานเพื่อใช้ในการเพิ่มระดับ
อย่างไรก็ตามมันยังเร็วไปหน่อยสำหรับหลินเว่ยที่จะเร่งการเพิ่มระดับ ท้ายที่สุดในตอนนี้เขาอยู่ในระดับเริ่มต้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทดสอบทักษะการคืนชีพนักรบโครงกระดูก ในการทำการทดสอบนี้จะต้องหาศพของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีขั้นศูนย์ และต่ำกว่า ระดับเก้า เท่านั้น
สำหรับพื้นที่พลังงานมิติของหลินเว่ยในตอนนี้ดูคล้ายกับทะเลว่างเปล่า ไกลสุดลูกหูลูกตา มีวัตถุทรงกลม ลอยอยู่เหนือทะเลลมปราณ ดูคล้ายกับหมอกเล็ก ๆ ที่จับตัวกันอยู่ ในตอนนี้หลินเว่ยนั้นสามารถคืนชีพนักรบโครงกระดูกได้เพียงครั้งเดียว แต่สำหรับวิธีการฟื้นฟูพลังหลังจากการใช้งานหลินเว่ยก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
หลังจากตัดสินใจแล้วหลินเว่ยก็เดินทางออกไปจากบ้าน เนื่องจากภายในบ้านของเขานั้นไม่มีของมีค่าใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นหลินเว่ยถึงออกมาตัวเปล่า เขาตรงไปที่ร้านขายขนมปังใกล้ ๆ ซื้อขนมปังข้าวไรย์ ที่ถูกที่สุด ทั้งหมดห้าชิ้น ด้วยเหรียญทองแดงสุดท้าย
จากนั้นจึงเดินทางออกไปนอกเมือง เป้าหมายของเขาคือป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากภูเขาเวเนเชี่ยนที่มีสัตว์ป่าจำนวนมากที่ออกมาหากินแถบริมแม่น้ำ ในบางครั้งถ้าโชคดีก็จะพบกับสัตว์อสูร ระดับศูนย์ได้
สำหรับสัตว์อสูรระดับแรกนั้นหาได้ยากมาก มีบางคนเคยพบเห็นมัน ใกล้ ๆ กับภูเขาเวเนเชี่ยนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสถานที่แห่งความตายของหลินเว่ยเช่นกัน ด้วยความสามารถในปัจจุบันของหลินเว่ย นับประสาอะไรกับสัตว์อสูรขั้นศูนย์ แม้แต่สัตว์ธรรมดา ๆ ก็สามารถฆ่าเขาได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงอยู่ในเมืองนี้มาหลายปีแล้ว
ถ้าเขายังพอมีแรงเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้มากกว่านี้เป็น 100 เท่า ถ้าเขาออกไปนอกเมืองเพื่อล่าสัตว์ป่า
ในความเป็นจริงมีเพียงทหารรับจ้างเท่านั้นที่จะเข้าไปในป่า หากหลินเว่ยปรี่เข้าไปโดยไม่สนใจอะไร เขาคงต้องกลายเป็นศพตายอย่างโดดเดี่ยวแน่นอน
เนื่องจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ หลินเว่ยจึงไม่สามารถเดินทางเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้โดยไม่หยุดพัก ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางตั้งแต่ตอนเที่ยงและหยุดพักเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งมาถึงรอบนอกของป่า ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อมองไปที่ทางเข้าของป่ารก หลินเว่ยก็ลูบท้องของเขาและพึมพำกับตัวเอง “บัดซบหิวเหลือเกิน!
หลินเว่ยถือว่าการเดินของตนเองที่ทรหดนั้นเป็นการออกกำลังชนิดหนึ่ง เขากินขนมปังไรย์ห้าชิ้นที่เขาพกติดตัวเมื่อคืนนี้และตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลองเสี่ยงโชคในป่านี้ดู
หลังจากพักผ่อนไม่นาน เขารู้สึกว่ากำลังกายของเขาฟื้นตัวขึ้นมาก หลินเว่ยจึงลุกขึ้นเดินต่อไปไม่กี่ร้อยเมตรเขาก็ค่อย ๆ ลดฝีเท้าลง เนื่องจากมีคนเดินอยู่รอบนอกมากเกินไป จึงไม่มีอันตรายสำหรับหลินเว่ย อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินเข้าไปลึกอีกไม่กี่ร้อยเมตร
เขาพบว่าพรานป่าหรือคนหาของป่ามืออาชีพมักจะมากันเป็นคู่ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย แต่หลินเว่ยนั้นมาเพียงผู้เดียวและเขาไม่อยากตาย ระหว่างทางที่เดินเข้าไป เขาทำเครื่องหมายเพื่อบ่งบอกทางกลับออกมาจากป่าไว้ตามต้นไม้
ในป่ามีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมาก ยิ่งเข้าไปข้างในเขาก็ยิ่งเห็นต้นไม้สูงใหญ่มากขึ้น ด้วยความเร็วในการเดินของหลินเว่ย ทำให้เขาเริ่มไกลออกจากทางเข้าของป่า อย่างไรก็ตามในระหว่างการเดินทางของหลินเว่ยนั้นราบรื่นมากไม่พบอันตรายใด ๆ
สิ่งที่เขาพบคือสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่และสัตว์กินพืช เขายังไม่เจอสัตว์ป่าดุร้าย เช่นเดียวกับ สัตว์อสูร ส่วนปัญหาเรื่องอาหาร เขาพบว่ามีผลไม้มากมายในป่าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกินเนื้อสัตว์ แต่ด้วยสภาพร่างกายเขานั้นคงไม่สามารถล่าสัตว์มาย่างกินได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่กินผักและผลไม้ที่หาได้ข้างทางและที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือ หลินเว่ยไม่เคยได้แตะต้องเนื้อสัตว์มาเป็นระยะเวลาห้าปีแล้ว
แม้ว่าข้างหน้าจะไม่มีอันตรายใด ๆ แต่หลินเว่ยก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังของตนเองมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงร้องของสัตว์ป่าและเสียงคำรามของสัตว์สองชนิดที่แตกต่างกัน
“สัตว์ป่าสองตัวกำลังต่อสู้กันอยู่หรือ? ฮ่า ๆ ดูเหมือนว่าโชคของข้ากำลังจะมาถึง” เมื่อได้ยินคำราม หลินเว่ยรู้สึกมีความสุขและรีบวิ่งไปยังทิศทางของเสียง
“ตุบ! ปัง … !” หลินเว่ยพบว่าแมวตัวหนึ่งผลุบออกมาจากต้นไม้ มันมีขนาดใหญ่กว่าขนาดตัวของแมวธรรมดา ๆ เพียงครึ่งเดียว เมื่อเขาเห็นรูปร่างของแมวแล้วเขาก็ตกใจ
เมื่อเห็นฉากนี้หลินเว่ยก็หวาดกลัวและตัวสั่น เขาซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้อย่างรวดเร็วและเริ่มสังเกตอย่างระมัดระวังผ่านช่องว่างของพุ่มไม้
“ให้ตายเถอะ!มันคือกระต่ายหูยักษ์และแมวป่าลายดำ! เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของพวกมัน น่าจะเป็น สัตว์อสูรระดับศูนย์ หรือ สัตว์อสูรระดับหนึ่งเท่านั้น รูปลักษณ์ของพวกมันจะเปลี่ยนไปตามระดับของพลังของสัตว์อสูร เช่นเดียวกับผู้ฝึกหัดขั้นแรกเริ่มและนักสู้ขั้นที่หนึ่ง สัตว์อสูรรูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาการสะสมพลังของสัตว์ร้าย “เมื่อหลินเว่ยสังเกตพวกมันอย่างถี่ถ้วน เขาก็จดจำพวกมันได้ทันที หลินเว่ยจดจำได้ เนื่องจากบิดามารดาเคยสอนเขาไว้ในการแยกแยะสัตว์อสูรและสัตว์ต่าง ๆ เมื่อครั้งยังเด็ก
ระดับของสัตว์อสูร แบ่งออกเป็นขั้น 1- 3 คือสัตว์อสูรระดับต่ำ สัตว์อสูรขั้น 4-6 คือ สัตว์อสูรระดับกลาง
สัตว์อสูรขั้น 7-9 คือ สัตว์อสูรระดับสูง ส่วนสัตว์อสูรขั้น 10 คือ สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูร ขั้น 11 คือ สัตว์เทพอสูร เช่นเดียวกับระดับของศิลปะการต่อสู้ แต่ละระดับของสัตว์อสูรยังสามารถแบ่งออกเป็นเก้าระดับย่อย ๆ
แมวป่าลายดำซึ่งถูกกระต่ายหูยักษ์เตะออกมา แล้วร่อนลงบนพื้นเป็นระยะทางไกล ส่ายหัวแรง ๆ แล้วลุกขึ้นยืนทันที หลังจากที่ส่งเสียงขู่ มันก็รีบวิ่งไปยังทิศทางที่กระต่ายหูยักษ์ ดูเหมือนการต่อสู้ก่อนหน้านี้ มันจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้มันโกรธมาก
เมื่อเห็นแมวป่าลายดำไม่ยอมแพ้พุ่งเข้าหากระต่ายหูยักษ์อย่างรวดเร็ว ดวงตาของกระต่ายหูยักษ์จับจ้องไปที่ทิศทางของอีกฝ่าย ควันสีขาวจำนวนมากถูกปล่อยออกมาจากรูจมูกของมัน แม้แต่หลินเว่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“นี่มัน! ดูเหมือนว่ากระต่ายตัวนี้ ถูกบังคับให้ใช้ทักษะความสามารถที่แท้จริงของมัน น่าจะเป็นทักษะความสามารถเดียวของกระต่ายหูยักษ์ ข้าจำได้ว่ามันน่าจะเป็นลูกไฟ ใช่หรือไม่ ลูกไฟ?” หลินเว่ยเห็นควันจมูกของกระต่ายหูยักษ์
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
เมื่อหลินเว่ยได้เห็นแมวป่าลายดำซึ่งกำลังเข้าใกล้กระต่ายหูยักษ์มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมันจะมองไม่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างไร เมื่อมันเห็นลักษณะผิดปกติของรูจมูกของกระต่ายหูยักษ์ แมวป่าลายดำก็รู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ความเร็วในการวิ่งของมันนั้นเร็วมากเกินไป ไม่สามารถหยุดฝีเท้าหรือกระโจนหนีได้ทัน
ในตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้ากระต่ายหูยักษ์แล้วและกำลังจะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
เพียงเสี้ยววินาทีกระต่ายหูยักษ์ก็ใช้ทักษะการต่อสู้ที่สะสมพลังมาได้อย่างเต็มที่ เดิมทีแล้วมันจะต้องใช้เวลาขณะหนึ่งในการใช้ทักษะนี้ของมัน เมื่อมันได้เปิดใช้ทักษะนี้แล้วไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น
Related