บทที่ 75
ทะลวงจุด
เนื่องจากหากต้องการใช้อาวุธวิญญาณจะต้องทำวิธีเดียวกับการใช้กระเป๋ามิติ นั่นคือการใช้เลือดเพื่อสลักวิญญาณของผู้ใช้งานลงไปที่ตัวของอาวุธวิญญาณโดยตรง
และสามารถใช้งานมันได้ตามใจคิด ราวกับแขนขาของร่างกาย โดยการถ่ายเทพลังปราณภายในร่างลงไปในตัวอาวุธวิญญาณ
อาวุธวิญญาณชิ้นแรกที่หลินเว่ยหยิบขึ้นมาคือ ดาบยาวซึ่งมีความยาวสี่ฟุตและกว้างครึ่งนิ้ว ตัวของดาบถูกสลักด้วยลวดลายเกล็ดปลา ตัวด้ามนั้นถูกสลักและหล่อออกมาให้ มีรูปร่างคล้ายหางปลา ดาบทั้งเล่มเป็นสีดำสนิทและไม่มีเงาสะท้อน
หลินเว่ยจ้องมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากนั้นเขากัดนิ้วชี้และบีบเลือดหยดลงบนตัวดาบ จากนั้นเขาก็ถ่ายเทพลังปราณในร่างกายของเขา และห่อหุ้มด้วยพลังปราณ หยดเลือดค่อย ๆ ซึมลงลงไปในดาบ หลังจากนั้นเกิดแสงวูบวาบไปทั่งตัวเรือนดาบทั้งเล่ม จากนั้นดาบก็กลับมาเป็นปกติ
เมื่อเสร็จสิ้นวีธีการสลักวิญญาณ หลินเว่ยก็ขยับดาบในมือของเขาและเกิดเป็นแสงสีดำ พุ่งซึ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาทันที จากนั้นมันก็ปรากฏตัวขึ้นในทะเลลมปราณ และเริ่มดูดซับพลังลมปราณของเขา
ด้วยเหตุนี้เมื่อหลินเว่ยพบว่าขั้นตอนแรกสำเร็จ หลังจากนั้นคือการใช้ความแข็งแกร่งของตัวเอง ในการห่อหุ้มดาบยาว ด้วยวิธีนี้เขาสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับดาบยาว และสามารถควบคุมมันได้โดยไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ
หลังจากนั้น หลินเว่ยยังรวบรวมอาวุธวิญญาณที่เหลืออีกสองชิ้น การเพิ่มอาวุธวิญญาณสามอย่างกะทันหัน พร้อมกันในครั้งเดียว ไม่ได้ทำให้หลินเว่ยรู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกแย่ เหตุผลเดียวก็คืออาวุธวิญญาณทั้งสามนั้น สามารถดูดซับพลังปราณของหลินเว่ย เข้าไปในเวลาเดียวกันและพลังปราณของหลินเว่ยกำลังถูกใช้ไปอย่างช้า ๆ
หลินเว่ยนั้นยังคงหลับตา เมื่อเขาถอนจิตออกจากทะเลลมปราณและทักษะที่ฝึกฝน ซวนหยวนเจวี๋ยกลับปรากฏในจิตใต้สำนึก ตอนนี้หลินเว่ยพร้อมที่จะฝึกฝนทักษะขั้นสูง ซวนหยวนเจวี๋ยนี้แล้ว
ขั้นระดับพลังของซวนหยวนเจวี๋ย สามารถแบ่งออกเป็นแปดระดับ ขั้นแรกเป็นทักษะระดับต่ำที่หลินเว่ยฝึกฝนมาแล้ว จนเกือบจะสามารถเลื่อนระดับได้
ผลลัพธ์คือหากว่าสามารถฝึกฝนและเลื่อนระดับสูงขึ้น และจะเพิ่มความยากในการฝึกฝนลมปราณมากยิ่งขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝึกซวนหยวนเจวี๋ย คือการทะลวงชีพจรฉงม่ายในแปดช่องทางของกระดูกสันหลังทั่วร่าง
เส้นทางในการทะลวงชีพจรฉงม่ายตามตำราของซวนหยวนเจวี๋ย ประกอบไปด้วยห้าจุดที่สำคัญ สิ่งที่หลินเว่ยต้องทำตอนนี้ คือทะลวงเปิดจุดฝังเข็มเหล่านี้และทำให้ชีพจรฉงม่ายเชื่อมต่อกันเป็นเส้น หลังจากที่ชีพจรของฉงม่ายถูกทะลวง
หลินเว่ยก็จะมีพลังปราณเพิ่มขึ้น ในทุกครั้งที่เขาฝึกฝน
หลินเว่ยระดมพลังลมปราณและแยกกระแสที่อ่อนแอออกไป และค่อย ๆ เข้าใกล้จุดชีพจรนั้น หลังจากเข้าไปในจุดฝังเข็ม หลินเว่ยค่อยๆใช้การสะสมค่อย ๆ ขยายทะลวงจุดชีพจรทีละนิด เนื่องจากเป็นครั้งแรก หลินเว่ยจึงค่อนข้างเกร็งและระมัดระวัง
ด้วยประสบการณ์ครั้งแรกหลินเว่ย เขาค่อย ๆ กล้าหาญมากขึ้น และเพิ่มพลังที่มากกว่าก่อนหน้านี้สิบเท่า ถูกอัดฉีดเข้าไปในชีพจรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขยายจุดฝังเข็มในทันทีและฝ่าทะลวงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน จุดฝังเข็มนั้นถูกทะลวงไปมากกว่าเก้าส่วน เหลือเพียงเหยื่อบาง ๆ ของชีพจร ซึ่งขัดขวางความก้าวหน้าของการฝึกกำลังภายใน ตราบเท่าที่เยื่อนั้นถูกทะลวงออกไป ขั้นตอนนี้ก็จะสำเร็จ
หลินเว่ยระดมพลังปราณทั้งหมดร่างกาย และฝ่าเข้าไปทะลวงจุดฝังเข็มให้เปิดออก
“พรึ่บ!” เกิดเสียงราวกับสิ่งของที่กำลังขาดผึง ดังออกมาจากร่างกายของหลินเว่ย หลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด และเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง ซึ่งเกือบจะทำให้เขาประคองสติไว้ไม่อยู่
หลังจากเปิดจุดฝังเข็มจุดแรกได้สำเร็จหลินเว่ยก็ไม่ยอมหยุด แต่กลับฝ่าทะลวงไปยังจุดที่สองทันที
“พรึ่บ!” จุดฝังเข็มที่สองถูกเปิดโดยหลินเว่ย แต่ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะผ่านจุดที่สองมาได้
เนื่องจากในตอนท้ายของการทะลวงชีพจร หลินเว่ยใช้พลังงานลมปราณมากเกินไปและไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ หลังจากการเค้นพลังอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดสามารถทะลวงได้สำเร็จ ในครั้งนี้หลินเว่ยอาเจียนเป็นเลือดออกมาคำโต
เมื่อมองไปที่พลังปราณจำนวนน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในทะเลลมปราณหลินเว่ยก็ทำอะไรไม่ถูก นี่เป็นเพราะระดับการฝึกฝนของเขานั้นต่ำเกินไป นอกจากนี้รากฐานของเขายังไม่มั่นคงและพลังปราณก็ไม่หนาแน่น
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้พลังปราณจำนวนมาก จึงจะสามารถทะลวงชีพจรต่อไปได้อีก
ยังมีเหลืออีกสามจุดชีพจรที่ยังไม่สามารถทะลวงได้ แต่หลินเว่ยนั้นไม่ยินยอมพ่ายแพ้ ในช่วงเย็นนี้เขาต้องฝึกซวนหยวนเจวี๋ยให้สำเร็จ
ในเวลานี้ จำเป็นต้องใช้ยาเม็ดเพื่อช่วยฟื้นฟูพลังงานก่อน ก่อนอื่นหลินเว่ยหยิบขวดยาฟื้นฟูคุณภาพฮุ่ยหยวน ที่ขั้นสี่ เพียงกลืนเข้าไปเพียงเม็ดเดียวจะสามารถฟื้นฟูพลังปราณที่ว่างเปล่าของหลินเว่ยให้เต็มในชั่วพริบตา
หลังจากที่พลังปราณถูกเติมเต็ม หลินเว่ยก็กลืนยาเม็ดเพิ่มพลังปราณขั้นสี่ไปอีกหนึ่งเม็ด
เม็ดยาละลายในปากยังไม่ทันได้ดูดซึมและกลายเป็นพลังปราณที่บริสุทธิ์ หลินเว่ยรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลนี้ จากนั้นบังคับพลังปราณไปยังชีพจรที่สาม ในพริบตาเขาสามารถฝ่าอุปสรรคและทะลวงชีพจรได้ถึงสองจุด
แม้แต่ในจุดที่ห้าจุดสุดท้าย พบว่าสามารถทะลวงไปได้เพียงครึ่งเดียว พลังปราณก็หมดลง
เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์นี้ หลินเว่ยก็กลืนยาลงไปอีกครั้งและเกิดเป็นพลังปราณขึ้นมาใหม่ และมุ่งทะลวงจุดที่เหลืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงที่ดังราวกับขาดผึงของชีพจรฉงม่าย กระแสของพลังปราณซึ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านี้
สองเท่ากำลังไหลออกมาและไหลลงสู่ทะเลลมปราณโดยตรง
หลังจากที่พลังปราณไหลเข้าสู่ทะเลลมปราณ แล้วยังมีผลจากยาที่กินเข้าไปเหลืออีกเจ็ดส่วนของเม็ดยา ซึ่งค่อย ๆ หลอมรวม และเริ่มการฝึกฝนของหลินเว่ย
“ยังไม่พอ!”
หลังจากได้การทะลวงชีพจรของหลินเว่ย ยาเม็ดนี้ทำให้เขาไปถึงจุดสูงสุดของระดับสี่ มีแนวโน้มจาง ๆ ทะลุระดับห้าแต่คุณภาพของยานั้นไม่เพียงพอ
สำหรับโอกาสนี้ หลินเว่ยจะไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงกินยาเพิ่มพลังปราณอีกชนิดหนึ่งเข้าไป ซึ่งผลของยานี้ผลักเขาไปสู่ระดับห้าในทันที
“ฟู่” หลังจากการฝึกฝนพลังปราณเสร็จสิ้น หลังจากหายใจเข้าออกสองสามครั้ง หลินเว่ยก็ลืมตาขึ้นและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายและหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
ความสำเร็จของการฝึกฝนในครั้งแรกของซวนหยวนเจวี๋ย ไม่เพียงแต่ปรับปรุงความเร็วในการดูดซับและการเลื่อนระดับ แต่ยังปรับปรุงการควบคุมพลังปราณและยังเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังปราณ
หลินเว่ยนั้นไม่ได้ฝึกฝนต่อไปอีกเพราะท้องฟ้าสว่างแล้ว และแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
หลินเว่ยลุกขึ้นยืนคลายกล้ามเนื้อและกระดูก จากนั้นเปิดประตูแล้วออกไป สำหรับเสี่ยวไป๋เมื่อหลินเว่ยลุกขึ้น มันก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน จากนั้นจึงกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของ หลินเว่ย
จิตวิญญาณของหลินเว่ยดีอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากนอนหลับมาทั้งคืน ท้ายที่สุดแล้วศิลปะการต่อสู้ จำเป็นต้องฝึกฝน เพื่อทดแทนการนอนหลับเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการการนอนหลับที่ยาวนานเกินไป
“สวัสดี! คุณชายหลิน ตื่นเช้าเหลือเกิน…เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่?” ทันทีที่หลินเว่ยออกไปข้างนอก เข้าก็พบกับเย่เหิงที่หน้าประตูห้องเช่นเดียวกัน เมื่อเย่เหิงเห็นหลินเว่ยก้าวเท้าออกมา อีกฝ่ายก็รีบถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ ที่ทำให้ข้าพักผ่อนได้อย่างเต็มที่” เมื่อได้ยินคำทักทาย หลินเว่ยก็ตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “ท่านลุงสะดวกหรือไม่ ในตอนนี้ข้ากำลังจะไปกล่าวลาเขา”
“ท่านไม่อยากอยู่ต่ออีกสักสองสามวันหรือ?” เมื่อได้ยินว่าหลินเว่ยกำลังจะจากไป เย่เหิงก็รีบเอ่ยถามขึ้น
“หลานชายคนดี เจ้ากำลังจะออกไปที่ใด? หลินเว่ยแค่อยากจะเปิดปากพูดกับเย่เหิง แต่เขาเห็นเย่ชิงเฟิงเดินเข้ามาในลานบ้าน และอีกฝ่ายบังเอิญได้ยินคำพูดของเย่เหิงจึงถามขึ้น