บทที่ 191
ร้องหาความยุติธรรม (1)
“อาวุธในร่างกายของข้า…..ตกลง…ข้าเข้าใจแล้ว” หลินกวนซานลังเล ในตอนแรกเขาคิดว่าหลินเว่ยแค่สายตาดีจึงพบเข็มกลัดของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นสายตาครั้งสุดท้ายของหลินเว่ย เขาก็ผงกศีรษะทันที
ตามที่คาดไว้ หลินเว่ยนั้นใช้สร้อยดวงตาอินทรีเพื่อมองร่างของหลินกวนซานและพบว่าเขามีอาวุธเพียงแปดชิ้น เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงห้าชิ้น และอาวุธวิญญาณคุณภาพสูงสามชิ้น
“เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่?” ในขณะนี้หลินกวนซานเต็มไปด้วยความเคียดแค้นต่อหลินเว่ย และขบคิดวิธีที่จะแก้แค้น แต่เขาไม่ได้โง่เขลาที่จะแสดงสีหน้าความรู้สึกออกมา เขาเก็บซ่อนมันอยู่ในใจของเขาอย่างลึก ๆ และใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างมาก แต่ไม่แสดงร่องรอยของเจตนาสังหาร
เมื่อเห็นการแสดงออกของอีกฝ่าย หลินเว่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายไป เนื่องจากหลินเว่ยได้ทำให้เขาขุ่นเคืองแล้ว เขาจะต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุด เขาจึงพูดอย่างแผ่วเบา: “ย่อมได้ แต่ได้พูดไปแล้วว่า ข้าจะไม่เกรงใจกับคนที่หลอกลวงข้า”
“เจ้าต้องการอะไร….ข้ามอบให้ทุกอย่าง แต่อย่าเอาชีวิตข้าได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยยังไม่พร้อมที่จะปล่อยเขาไป หัวใจของหลินกวนซานก็สะดุ้งและมองไปที่หลินเว่ยด้วยความกังวลใจ
“อืม! ข้าวางแผนที่จะทำเช่นนั้น แต่เนื่องจากเจ้าเป็นองค์ชาย ดังนั้นข้าจะไม่สังหารเจ้า หลินเว่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจมาก สิ่งที่เขาต้องการคือสิ่งนี้ การทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัว เขาจึงจะบรรลุเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
“เจ้าต้องการอะไร?” เมื่อหลินกวนซานได้ยินว่าหลินเว่ยไม่สังหารเขา เขาก็รู้สึกโล่งใจโดยไม่รู้ตัว สำหรับเขาตราบใดที่เขาไม่สิ้นใจตาย แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส เขาก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้เช่นเดิม
“ข้าจะมอบสองทางเลือกให้เจ้า อย่างแรกข้าจะทำลายการฝึกฝนของเจ้าทิ้งซะ เนื่องจากเจ้าต้องทำให้ข้าเปลืองพลังไปมาก ดังนั้นสิ่งที่สามารถชดเชยให้ข้าได้คือการสูญเสียความสามารถของเจ้าไป
และองค์ชายสี่แห่งอาณาจักรเฟิงหยูผู้ยิ่งใหญ่ มอบหินหยวนออกมาให้ข้าสิบล้านหยวน” หลินเว่ยกล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมย
“อีกเท่าใดนะ?” สิบล้านหินหยวน หลินเว่ยพูดเบา ๆ แต่มันทำให้หลินกวนซานประหลาดใจ แม้แต่ฟังคำพูดของหลินเว่ยไม่ชัดเจน เขาคิดว่าตนเองอาจจะได้ยินผิดไป
“หินหยวนจำนวนสิบล้านก้อน ไม่มีอย่างนั้นหรือ?” หลินเว่ยขมวดคิ้วและมองไปที่หลินกวนซาน ด้วยความงงงวยบนใบหน้าของเขาและถามย้ำอีกครั้ง
ในความคิดของเขา องค์ชายย่อมมีหินหยวนในครอบครองมากมาย ท้ายที่สุดเขาขอหนึ่งร้อยล้านหยวนสำหรับเจ้าหญิงแห่งภูตวิญญาณ และเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเดือดร้อน
หินหยวนสิบล้านก้อน …ข้าคิดว่า ข้ามีเหมืองเป็นของตนเองงั้นหรือ ข้าเป็นจักรพรรดิเฟิงหยูงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลินกวนซานรู้สึกหดหู่ใจมาก จนเขาลอบดุด่าหลินเว่ยในใจ
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของหลินกวนซานรู้สึกกังวลและร้องออกมาทันทีว่า: “ข้าเป็นแค่องค์ชายตัวน้อย แม้ว่าข้าจะถูกจับตัวไป แต่ก็ไม่คุ้มกับหินสิบล้านหยวน! ”
“อืมเจ้าจะไม่ให้งั้นหรือ?” หลินเว่ยมองไปที่หลินกวนซานด้วยท่าทางที่น่ากลัว
“นี่….ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้! แต่ข้ามอบออกมาให้เจ้าไม่ได้!” หลินกวนซานกลัวหลินเว่ยมาก จนเกือบคุกเข่าลงและส่ายหัว
“ไม่เป็นไร…..เจ้ามอบให้ตอนนี้ไม่ได้ แต่เจ้าเขียนสัญญามอบหินสิบล้านหยวนให้ข้าสิ ประทับลายนิ้วมือของเจ้าแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้าไป ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้โกหก หลินเว่ยไม่ได้กดดันเขาต่อไป แต่เขาหยิบหนังสัตว์ชิ้นหนึ่งออกมา
แล้วโยนไปที่เท้าของอีกฝ่าย เขาพูดแผ่วเบา
“นี้…!” เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยขอให้เขาร่างสัญญา หลินกวนซานก็ตะลึง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ เขาก้มลงไปหยิบหนังสัตว์ใต้เท้าแล้วใช้นิ้วเขี่ย ตามความตั้งใจของหลินเว่ย เขาเขียนสัญญามอบหินหยวนสิบล้านก้อน
หลังจากเขียนเสร็จเขาก็ส่งมันให้หลินเว่ยอย่างระมัดระวัง
หลินกวนซานไม่ต้องการเขียนสัญญา แต่ถ้าหลินเว่ยถูกสังหารก็ไม่มีหนี้สินที่จะต้องชดใช้?
แม้ว่าหลินเว่ยจะกล้ามาตามทวงหนี้จากเขา เขาก็จะหาเรื่องสังหารหลินเว่ย เมื่อเขาไปถึงดินแดนของเขา หลินเว่ยยอมไม่อาจรักษาชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นการรีดไถราชวงศ์ แม้ว่าหลินเว่ยจะถูกสังหารก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากฐานะของเขา แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นจะต้องมีการลงโทษ แต่เมื่อเทียบกับการสังหาร หลินเว่ยแล้วก็ยังคุ้มค่ามาก
ในเวลานั้น ทุกสิ่งที่หลินเว่ยเอาไปจากเขา ไม่เพียงแต่สามารถนำกลับคืนมาได้ แต่ยังรวมถึงความมั่งคั่งมหาศาลของหลินเว่ยด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าหลินเว่ยมีสมบัติอยู่กี่ชิ้น สิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งได้รับมาจากการปล้นชิงอัจฉริยะของกองกำลังต่าง ๆ ย่อมต้องทำให้หลินกวนซานประหลาดใจ มันเป็นเงินจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอาวุธลึกลับหลายชิ้นในหมู่พวกนั้น อุปกรณ์ซวนฉีทุกชิ้นนั้นประเมินค่าไม่ได้ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้
เมื่อเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลินเว่ยก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำคิดจะทำอะไรอยู่ อย่างไรก็ตาม อย่างมากเขาคิดแค่ว่าอีกฝ่ายรู้สึกว่า เขาไม่กล้ามาไปทวงหนี้ แต่หลินเว่ยไม่คิดว่าอีกฝ่ายพยายามจะแย่งชิงสมบัติของเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลินเว่ยจะรู้เรื่องนี้ เขาก็จะไม่สนใจ เพราะถ้ามันมาถึงเขาก็พร้อมที่จะไปตามทวงหนี้อย่างแน่นอน และเขาจะไม่ไปอย่างโง่เขลา
“ตอนนี้ เราออกไปได้หรือยัง?” เป็นหลินเสิ่นที่ยังไม่ยอมจากไป เขาต้องการชื่นชมความอัปลักษณ์ของหลินกวนซาน อย่างไรก็ตามเขารู้สึกตกใจเมื่อเห็นว่าหลินเว่ยได้รีดไถสิบล้านหินหยวนขั้นสูงและบังคับให้ยอมรับสัญญาหนี้
เขาหวาดกลัวว่าหลินเว่ยจะหันมาเล่นงานตนเอง เขาจึงรีบพูด
“อืม! แน่นอน เจ้าสามารถนำถังขยะนี้ไปทิ้งได้แล้ว หลังจากที่บดขยี้หลินกวนซานอย่างหนักจนหลินเว่ยพอใจแล้ว สำหรับหลินเสิ่น หลินเว่ยไม่เคยคิดที่จะแย่งชิงอีกฝ่าย ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็แตกต่างกันมากทีเดียว
จากตัวตนของหลินกวนซาน ดังนั้นเขาจึงไม่รีดเลือดกับปู มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียหายเท่านั้น
“หวือ!” เมื่อได้ยินว่าหลินเว่ยตกลงที่จะปล่อยพวกเขาออกไป หลินกวนซานทำราวกับได้รับการอภัยโทษ เขารีบออกไปด้วยความช่วยเหลือของหลินเสิ่น และไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
ในสายตาที่อิจฉาของสถานศึกษาเทียนหยู หลินเว่ยได้รวบรวมอาวุธและกระเป๋ามิติทั้งหมดเข้าไปในพื้นที่มิติ โดยไม่ได้ตั้งใจที่แบ่งปันให้ผู้ใด
คนส่วนใหญ่อิจฉาเขามาก แต่ไม่มีใครพูดอะไร ประการแรก คือของโจร ของที่หลินเว่ยได้มาทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา ประการที่สอง พวกเขาส่วนใหญ่หวาดกลัวกับโครงกระดูกที่หลินเว่ยยังไม่ได้นำกลับไป
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกเราไปรอที่ทางออกกันเถอะ” หลังจากเสร็จสิ้น หลินเว่ยจึงเอ่ยความเห็นขึ้นมา
“อืม! เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!” ไม่มีใครคัดค้านข้อเสนอของหลินเว่ย ในแง่หนึ่งความแข็งแกร่งของหลินเว่ย สามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ ในทางกลับกันหลินเว่ยกล่าวว่าประตูกำลังจะเปิดออก
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ในกรณีฉุกเฉินการไปถึงก่อนเวาลาย่อมจะดีกว่ามาก
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทางออกก็เปิดตามกำหนด อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สถานศึกษาเทียนหยูภายใต้การนำของ หลินเว่ยเดินออกไปก่อน ไม่มีกองกำลังรอบข้างที่กล้าเอ่ยชื่อหรือกระซิบกระซาบถึงเรื่องของเขา
เพราะในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เรื่องของหลินเว่ยกับ หลินกวนซานและคนอื่น ๆ ก็ถูกเผยแพร่ออกไป ตราบใดที่ผู้คนมาถึงที่นี่ ย่อมรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของหลินเว่ย แล้วพวกเขาก็ย่อมจะไม่เข้าไปหาเรื่อง
ด้านนอกเมืองลับเฉียนซี ผู้คนและกองกำลังต่าง ๆ กำลังรอคอยทางออกที่มืดมิด แม้แต่ผู้ที่เปิดประตูก็รอคอยเหล่าลูกศิษย์ของตนเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนที่เข้าสู่ดินแดนลับเฉียนซี ล้วนเป็นชนชั้นสูงของกองกำลังต่าง ๆ และบางคนก็เป็นผู้มีความสามารถที่ฝึกฝนมา ด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสถานศึกษาเหล่านั้นที่มีเพียงห้าแห่งเท่านั้น ดังนั้นทหารทั้งหมดที่พวกเขาส่งมา จึงเป็นชนชั้นสูงในหมู่ราชวงศ์
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้รอนานเกินไปนัก ในฐานะกองกำลังกลุ่มแรกที่เดินกลับออกมา คือสถานศึกษาเทียนหยู ที่นำโดยหลินเว่ยเป็นผู้นำในการออกมาจากทางออก
มีจำนวนทั้งสิ้น 43 คน เมื่อหลินเว่ยไปถึงประตูทางออก เขาเพิ่งพบกับศิษย์ที่เหลืออีกสามคนของสถานศึกษาเทียนหยู และอีกห้าคนจากสถานศึกษาหนานฮุ่ยและสถานศึกษาตั้วไห่
หลังจากที่พวกเขาออกมา หลินเว่ยและศิษย์สถานศึกษาอื่นก็แยกตัวกลับไปหาอาจารย์ของตน เมื่อเทียบกับสถานศึกษาเทียนหยูที่มี 50 คนที่สามารถเข้าไปในดินแดนลับเฉียนฉี ในขณะนี้มีเพียง 38 คนที่ได้กลับมา
และมีเพียงสองคนที่กลับมาจากมหาสถานศึกษาตั้วไห่ และสถานศึกษาหนานฮุ่ย
สัดส่วนของการเสียชีวิตในสถานศึกษาทั้งสองแห่งนี้สูงกว่าสถานศึกษาเทียนหยู แต่ในความเป็นจริงการสูญเสียของสถานศึกษาเทียนหยู ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด
“อาจารย์!” ท่านผู้นำ หลังจากแยกย้ายกันไป หลินเว่ยขอให้หยางไป๋พาคนอื่นไปพักผ่อน แต่ตัวเขากลับไปพบกับซางกวนฮ่าวหยางและเหลยเป่าก่อน
ไม่นานก็มีการเคลื่อนไหวอีกครั้งที่ทางออก นักรบจากกองกำลังต่าง ๆ ออกมา และกลับไปที่ค่ายของพวกเขาเพื่อรายงานสถานการณ์ในเมืองลับ
เรื่องราวฉาวโฉ่ของหลินเว่ยเป็นที่รู้กันดีสำหรับทุกคน โดยเฉพาะตระกูลเฉิน และหอการค้าหยูหลง รวมไปถึงนักรบของสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง ที่เติมเชื้อไฟให้กับผู้อาวุโสของพวกเขา
สำหรับสถานศึกษาราชวงศ์เฟิงหยููก็เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาติดตามองค์ชายและราชวงศ์คนอื่น ๆ ออกมา พวกเขาก็รีบรายงานสถานการณ์ทันที
ในปัจจุบันกองกำลังทั้งสามได้รวมตัวกัน และมุ่งหน้าออกมา ด้านหน้ากระโจมชั่วคราวของสถานศึกษาเทียนหยู โดยขู่ว่าจะขอความยุติธรรมจากสิ่งที่หลินเว่ยกระทำ