บทที่ 263
หมัดคือความจริง
“ศิษย์พี่! ท่านไม่ต้องเสียเวลาเจรจาพูดคุยอีกเลย สังหารมันเถอะ หยางไป๋เดินไปหาเมิ่งหูลู่ และพูดด้วยความโกรธบนใบหน้าของเขา
ผางหลงและคนอื่น ๆ ก็ก้าวไปข้างหน้า และยืนอยู่ข้างๆ เมิ่งหูลู่ พวกเขาทั้งหมดมองไปที่สถานการณ์เบื้องหน้า ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ต่างคนต่างระเบิดพลังลมปราณความแข็งแกร่งทั่วทั้งร่าง
ความแข็งแกร่งระดับขั้นจักรพรรดิ เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม
ใบหน้าของชายคนนั้นมืดมนและอึมครึม แต่หางตาของเขานั้นยังคงกระตุก เขาไร้คำพูดภายในใจ เดิมทีเขาต้องการกลั่นแกล้งหลินเว่ยที่ไม่สนใจเขา
แต่ไม่คาดคิด เขากลับกลายเป็นศัตรูกับกลุ่มคนจำนวนมาก เขารู้สึกเหมือนเดินไปแหย่รังแตน โดยบังเอิญ
ใบหน้าของเขายังคงดร้าย แต่ภายในใจกลับตื่นตระหนก เขาสามารถบอกได้จากพลังลมปราณของเมิ่งหูลู่และคนอื่น ๆ ว่า เขานั้นมีพลังความแข็งแกร่งที่อ่อนแอที่สุดนั้น
อยู่ในระดับขั้นราชาแห่งการต่อสู้ และหลายคนอยู่ในขั้นจักรพรรดิ
โดยธรรมชาติแล้ว เขาไม่ได้หวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ แต่เห็นได้ชัดว่า เมิ่งหูลู่และคนอื่น ๆ ล้วนมาจากสถานที่เดียวกัน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่สามารถฝึกฝนผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ขั้นจักรพรรดิจำนวนมาก
“คุณชาย…… ข้าขออภัยจริงๆ สหายของข้านั้น ไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะชดใช้ให้พวกท่าน เย่หลิงใบหน้าเศร้าหมอง และมีท่าทางดุดัน เมื่อเห็นว่า ญาติผู้พี่ของตนเอง ไม่ยินยอมเอ่ยขอโทษ อย่างไรก็ตามเย่หลิงจึงต้องเป็นคนเอ่ยแทน
และกล่าวขออภัยกับหลินเว่ย
“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงโจมตีพวกเรา หากไม่ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลในวันนี้….อย่าตำหนิที่ข้าไม่เกรงใจ” เมิ่งหูลู่ขมวดคิ้ว และจ้องมองไปที่เย่หลิง และเจตนาสังหารแผ่ซ่าน และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โอ้! เป็นเพียงระดับจักรพรรดิ ข้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษาเฉียนคุน ผู้ใดกล้าขยับตัว หากข้ายืนอยู่ที่นี่ และดูสิว่าวันนี้ เจ้าจะทำอะไรข้าได้ เมื่อเขาเห็นเย่หลิงเอ่ยขอโทษแทนเขา เขารู้สึกหดหู่ในใจ
เขาต้องการแสดงตัว ต่อหน้าอีกฝ่าย โดยไม่คาดคิดว่า ตนเองกลับกลายเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับนางไปเสียแล้ว เขาหัวเราะเยาะ เงยหน้าขึ้นและพูดอย่างหยิ่งผยอง
“หุบปาก! อย่าได้เอ่ยคำพูดเช่นนั้นอีก เย่หลิงขบฟันและมองไปที่สถานการณ์ที่เลวร้ายเบื้องหน้า ภายในใจกรุ่นโกรธอย่างมากในขณะที่นางอยากจะคลี่คลายความเข้าใจผิดแต่ อีกฝ่ายกลับทำเป็นมองไม่เห็น ทั้งยังยั่วยุอีกฝ่าย
แม้กระทั่งอ้างสถานศึกษาเฉียนคุนออกมา ตนเองไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง แต่กล้าคุยโวโอ้อวด ไร้สมองจริงๆ
“ เย่หลิง….จะหวาดกลัวอันใด ที่นี่คือเมืองเหยียนจิง พวกเรามาจากสถานศึกษาเฉียนคุน และเจ้าเป็นบุตรสาวของผู้นำสถานศึกษา แม้แต่สถานศึกษาอื่น ก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้าด้วยซ้ำ” เย่หลิงเบื้องหน้ามีใบหน้าจริงจัง แต่ภายในใจกลับรู้สึกรังเกียจญาติผู้พี่ห่างๆ
เหตุผลที่เขาอ้างชื่อสถานศึกษาเฉียนคุนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า และแน่นอนว่า แม้กระทั่งฐานะของเย่หลิง ก็เปิดเผยออกมา ในฐานะบุตรสาวของหัวหน้าสถานศึกษาเฉียนคุน เย่หลิงนั้นถือว่า มีเกียรติมากในเมืองเหยียนจิง
และคนส่วนใหญ่จะกล้าที่จะสร้างปัญหากับนาง โดยไร้เหตุผล
“ สารเลว … !” เย่หลิงโกรธมาก จนแทบจะกระอักเลือดออกมา
โดยไม่รอให้เย่หลิงได้เอ่ยอันใด นางก็ได้ยินหยางไป๋พูดด้วยน้ำเสียงถากถาง“ อุ๊ย! สถานศึกษาที่ยิ่งใหญ่ หากรักตัวกลัวตาย จงยอมจำนนต่อบุตรสาวของผู้นำสถานศึกษางั้นหรือ?”
เมื่อหยางไป๋พูดจบ ติงเซียนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและพูดว่า “อืม! ดินแดนกังหลัน หนึ่งในห้า สถานศึกษาที่ทรงพลังมาก บุตรสาวของปรมาจารย์แห่งกังหลัน มีฐานะสูงส่ง นางมีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นแม่บ้านให้ศิษย์น้องของเรา ”
เมื่อได้ยินคำพูดของติงเซียนทำให้เย่หลิงรู้สึกสับสน พวกนางคิดว่า เมื่ออีกฝ่ายรู้ฐานะของตนเอง พวกเขาอาจจะเกรงใจและมีท่าทีอ่อนลง อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำพูดของติงเซียน พวกเขาต่างตกตะลึง
แม้เย่หลิงจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นางมองไปที่ หลินเว่ยอย่างเชื่องช้า แต่ไม่ได้มีร่องรอยความโกรธบนใบหน้า
เจ้าอยากตายงั้นหรือ ในดินแดนกังหลันไม่มีผู้ใดกล้าที่จะขอบุตรสาวของผู้นำสถานศึกษาเฉียนคุนไปเป็นสาวใช้ของเขา ” ญาติผู้พี่หันไปดุด่าติงเซียน
แต่ข้าไม่ได้มาจากดินแดนกังหลัน ข้าจะพูด… เจ้าจะทำอันใด ติงเซียนชูหัวของนางขึ้นสูง และพูดด้วยความเยาะเย้ย
“นังแพศยา! ข้าจะตบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้ ญาติผู้พี่ทำใบหน้าดุร้ายและร้องคำราม
“ไอ้ชั่ว! ถ้าเจ้ากล้าด่าทอน้องสาวข้าอีกคำ… ข้าจะถลกหนังเจ้า” ติงหยูเหนียนประณามอย่างโกรธเกรี้ยว อาวุธที่อยู่บนร่างของเขาครอบคลุมทั้งร่างอย่างรวดเร็ว และดาบยาวชี้ตรงไปที่ ญาติผู้พี่ของเย่หลิง
“เจ้ากล้ารึ! หลังจากที่เขาพูด ร่างของเขาก็ปกคลุมไปด้วยอาวุธอย่างเรียบร้อย ถือหอกยาวในมือข้างหนึ่ง ชี้ไปที่ ติงหยูเหนียนและพูดอย่างยั่วยุ
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ! พูดด้วยปากหรือจะสู้ด้วยการพูดด้วยหมัด” ผางหลงมองไปที่ญาติผู้พี่ของเย่หลิงด้วยความรังเกียจและพร้อมตั้งท่าต่อสู้
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังจะบันดาลโทสะ บรรยากาศไม่สู้ดี ทั้งเย่หลิงและเย่เจียต่างก็กังวลมาก ในเวลานี้เสียงแผ่วเบาของหลินเว่ยพูดขึ้นมาว่า: “เอาสิ! จัดการทุกคนยกเว้นสาวน้อยคนนั้น”
เหตุผลที่หลินเว่ยตัดสินใจเช่นนี้ เนื่องจากอีกฝ่ายมีหกคน แต่มีเพียงความแข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิทั้งหมดสามคน ส่วนที่เหลืออีกสามคน เป็นราชาแห่งการต่อสู้ สองคน และหญิงสาวนั้นเป็นเพียงบุตรสาวของผู้นำสถานศึกษาเท่านั้น
ด้านข้างของเขา หากไม่นับตนเอง มีทั้งหมดเก้าคน มีระดับพลังขั้นจักรพรรดิห้าคน และระดับราชาแห่งการต่อสู้ทั้งสี่คน ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ สามารถเอาชนะได้โดยง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหลินเว่ย แม้ว่าหลินเว่ยจะเผยความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็สามารถบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามได้ เพียงแค่เรียกเสี่ยวไป๋หรือเสี่ยวหลงออกมา
“ดี!”เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เมิ่งหูลู่และคนอื่น ๆ ก็พยักหน้า โดยไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขาก็รีบจับอาวุธเตรียมตั้งท่า แม้แต่เจียงเผิงก็ไม่ลังเลใจ ก่อนหน้านั้นเขาถูกหลินเว่ยทำร้าย เช่นเดียวกับเสวี่ยมู่
“ฮึ่ม! จากนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงฮึ่มๆ อย่างเย็นชาเตรียมพร้อมจะกระโจมเข้าใส่กัน
คนอื่นๆ ในสถานศึกษาเฉียนคุนล้วนแล้วแต่ ทำอะไรไม่ถูก พวกเขาได้แต่ด่าทออยู่ภายในใจ จะทำเพื่อซื้อใจสาวงามก็ทำไปคนเดียว! อย่าทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนเพราะเจ้า ตอนนี้พวกเขาถูกลากลงไปในน้ำด้วยแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามสถานการณ์ที่น่ากลัวได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะถูกทำร้ายโดย เมิ่งหูลู่และคนอื่น ๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็รีบเข้าร่วมกลุ่มต่อสู้
“พวกเจ้า…!” เย่หลิงมองเห็นสหายของนางและวิ่งออกไปเพื่อต่อสู้ แต่นางไม่สามารถขวางพวกเขาได้ นางทำได้แต่กระทืบเท้าด้วยความโกรธ แต่นางกลับทำอะไรไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นางนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าร่วมวงต่อสู้ นางพาน้องสาวของนางไปยืนที่อีกข้างหนึ่งและมองดูการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อนางพบว่าหลินเว่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิม และไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ นางจึงพยายามเปิดปากและพูดว่า “คุณชาย ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด สหายของข้าเลินเล่อเกินไป เจ้าสามารถหยุดสหายของเจ้าได้หรือไม่ เรามานั่งคุยกันดี ๆเถอะ