เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน – ตอนที่ 26 ยอมเป็นหมากของบรรพจารย์เย่

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 26 ยอมเป็นหมากของบรรพจารย์เย่

เมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังอย่างที่มิเคยเห็นมาก่อน และความมั่นอกมั่นใจของนักพรตฉางเสวียนขณะที่พูดออกมา ลู่อู๋ซวงก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนที่สีหน้าจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านมั่นใจว่าผู้อาวุโสเย่คือบรรพจารย์ท่านนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ” ลู่อู๋ซวงมองนักพรตฉางเสวียนพลางกระพริบตาปริบ ๆ

“มิผิดแน่ ต้องเป็นบรรพจารย์ท่านนั้นแน่”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าอย่างจริงจัง และถามกลับว่า “อู๋ซวง หากข้าเดามิผิด เมื่อครู่จิตวิญญาณของเจ้าก็ถูกดูดเข้าไปภายในภาพไท่เสวียนฉางชิงด้วยใช่หรือไม่ ? ”

ลู่อู๋ซวงพยักหน้ายอมรับ

“เช่นนั้นเจ้าได้เห็นเมฆามงคลห้าสีที่อยู่บนเขาไท่เสวียนหรือไม่ ? ” นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถามอีกครั้ง

“เรียนท่านเจ้าสำนัก อู๋ซวงเองก็เห็นเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็ใช่แล้วล่ะ”

“ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ เมฆามงคลห้าสีนั่นมีความพิเศษซ่อนอยู่เยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”

“อู๋ซวง ตอนนี้เจ้ายังเยาวน์นัก มุมมองของเจ้ายังตื้นเขิน เมฆามงคลห้าสีนั่นเป็นวาสนาสูงล้ำที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้แก่ดินแดนไท่เสวียนของเรา”

“ท่านเจ้าสำนัก อู๋ซวงยังมิเข้าใจอยู่ดีเจ้าค่ะ”

“ถูกแล้วที่เจ้ายังมิเข้าใจในตอนนี้ เพราะเมฆามงคลห้าสีนั่นถือเป็นโชคที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้แก่ดินแดนไท่เสวียนของเรา โชคเป็นสิ่งลึกลับที่แม้แต่ข้าเองก็ยังน้อยครั้งที่จะได้พบพาน”

“ผู้อาวุโสเย่ใช้ฟ้าดินเป็นภาพ ใช้หลักแห่งเต๋าแทนหมึกและพู่กัน และใช้วิธีอันศักดิ์สิทธิ์ประทานโชคนิรันดร์ให้แก่ดินแดนไท่เสวียน สิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เกรงว่านับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันคงมิมีผู้ใดที่สามารถทำเช่นนี้ได้อีกแล้ว”

“อีกทั้งภาพนี้ยังถูกตั้งชื่อว่า ภาพไท่เสวียนฉางชิง สิ่งเหล่านี้มีคำอธิบายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือผู้อาวุโสเย่คือบรรพจารย์ท่านนั้นที่พวกเราดินแดนไท่เสวียนนับถือนั่นเอง”

เอ่ยถึงเรื่องนี้ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนก็เป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ

มีบรรพจารย์ที่ล้ำเลิศเช่นนี้คอยสนับสนุน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมิมีทางตกต่ำลงเป็นแน่

หากเป็นเช่นนี้ภายภาคหน้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะต้องรุ่งเรืองอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน และต้องกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งจงหยวนได้อย่างแน่นอน

ลู่อู๋ซวงแม้ฟังแล้วจะรู้สึกงงงวย แต่ในเมื่อนักพรตฉางเสวียนที่เป็นถึงเจ้าสำนักมีฐานะสูงส่ง และการบำเพ็ญเพียรล้ำเลิศมั่นใจเช่นนี้ นางที่เป็นเพียงผู้เยาว์ย่อมมิกล้าที่จะสงสัยอีก

และเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ

ผู้อาวุโสที่ดูเป็นคนเรียบง่ายผู้นี้กลับมีตบะบำเพ็ญเพียรที่ล้ำลึก ความแตกฉานในด้านต่าง ๆ ล้วนบรรลุถึงขั้นสุดยอดจนน่าตกใจ นางจึงมิรู้สึกสงสัยอีก

แต่จู่ ๆ ลู่อู๋ซวงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น จึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดว่า “ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ อู๋ซวงมีคำถามเจ้าค่ะ”

“อะไรหรือ ? ” นักพรตฉางเสวียนตอบรับทันที

ลู่อู๋ซวงเอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่า เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสเย่อาจขึ้นสรวงสวรรค์มาแล้วก็เป็นได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

นักพรตฉางเสวียนตอบกลับอย่างมั่นใจ “มิใช่เป็นไปได้ แต่ท่านขึ้นสวรรค์มาแล้วจริง ๆ ”

แค่ภาพวาดภาพหนึ่ง ก็สามารถมอบโชคเหลือคณาให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้แล้ว ช่างมีความสามารถที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

หากตั้งตัวเป็นปรปักษ์ด้วย คงได้พบกับหายนะที่มิรู้จบเป็นแน่

เกรงว่าคงมีเพียงบุคคลชั้นสูงเท่านั้นที่จะเพิกเฉยต่อการเป็นปรปักษ์เยี่ยงนี้ ดังนั้นผู้อาวุโสเย่จะต้องเป็นยอดคนชั้นสูงอย่างแน่นอน

ลู่อู๋ซวงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินผู้คนกล่าวกันว่า ยอดคนบางจำพวกใช้คนอื่นเป็นหมากเพื่อทำให้เขาบรรลุถึงเป้าหมายบางสิ่ง ท่านว่าผู้อาวุโสเย่เขาจะ…”

“อู๋ซวง คำถามนี้ข้าเองก็เคยคิดเช่นกัน และการที่เจ้าตระหนักในเรื่องนี้ได้นั้น ถือว่าตัวเจ้าได้พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าให้ลู่อู๋ซวงด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “บัดนี้ข้ามั่นใจแล้วว่าผู้อาวุโสเย่คือบรรพจารย์ของเราท่านนั้น ต่อให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกลายเป็นหมากของผู้อาวุโสเย่ ก็มีแต่ผลดีต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนทั้งนั้น”

“ในทางกลับกัน หากท่านบรรพจารย์เย่มีความขัดแย้งกับยอดคนท่านอื่นจริง แต่กลับมิคิดที่จะใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราเป็นหมาก เช่นนั้นกลับทำให้ข้ารู้สึกผิดเสียมากกว่า”

เอ่ยถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางกล่าวต่อว่า “อู๋ซวง จำเอาไว้ให้ดี มิว่าอย่างไรการดำรงอยู่ของท่านบรรพจารย์เย่นั้น ย่อมส่งผลดีต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราอย่างแน่นอน”

ใบหน้าของลู่อู๋ซวงที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

อีกด้านหนึ่ง เย่ฉางชิงได้พาพวกของเยี่ยนปิงซินมาส่งยังชายแดนของเมืองเสี่ยวฉือ ขณะที่เขาได้เห็นกลุ่มคนและม้า รวมทั้งองครักษ์ที่สง่างามรวมตัวกันอยู่ด้านนอก ก็เกิดความรู้สึกต้องการที่จะไปจากเมืองเสี่ยวฉือขึ้นมาจริง ๆ

หากมีองครักษ์เช่นนี้คอยคุ้มครอง เชื่อว่าต่อให้เจออันตรายใด ๆ ก็คงจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย มิมีทางเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นได้แน่

เขาอยากออกไปท่องโลกภายนอกเสียจริง ๆ เพราะเขาทนอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว

โดยเฉพาะหลังจากได้ฟังเยี่ยนปิงซินกล่าวว่าเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยนนั้น เจริญรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาก็ยิ่งปรารถนาที่จะไปเยือนสักครั้ง

“ท่านเย่ส่งเพียงเท่านี้เถอะขอรับ พวกเราเกรงใจท่านยิ่งนัก”

ก่อนออกเดินทาง หลิวฉางเหอได้โค้งคาราวะให้แก่เย่ฉางชิง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ

ใบหน้าของเย่ฉางชิงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ท่านหลิวกล่าวเกินไปแล้ว หากมีเวลาก็กลับมาสนทนากับข้าอีกนะขอรับ”

“เอ๊ะ ! ”

หลิวฉางเหอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ใบหน้าชราที่ดูใจดีนั้นประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูละอายใจยิ่งนัก

เขาในเมื่อก่อนเป็นคนทะนงตน ผู้บำเพ็ญตนทั่วไปหาได้อยู่ในสายตาของเขาไม่

แต่บัดนี้เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสเย่แล้ว มิเพียงแต่การบำเพ็ญเพียรที่ห่างชั้นกันแล้ว แต่คุณสมบัติก็ยิ่งห่างไกลเข้าไปใหญ่

แต่ผู้อาวุโสเย่กลับหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ ทั้งยังปฏิบัติต่อเขาเช่นคนทั่วไป

คิดได้ดังนั้นภายในใจของหลิวฉางเหอก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากยิ่งขึ้น

“ขอบคุณท่านเย่ที่เมตตา หลิวฉางเหอจะกลับมาเยี่ยมเยียนท่านอีกแน่นอนขอรับ” หลิวฉางเหอตอบกลับอย่างนอบน้อม

เย่ฉางชิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่เยี่ยนปิงซินจะเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านเย่ รอผ่านช่วงนี้ไปแล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านอีกนะเจ้าคะ”

เย่ฉางชิงยังคงพยักหน้าเช่นเดิม

หลังส่งพวกหลิวฉางเหอกลับไปแล้ว เย่ฉางชิงก็เหลือบมองไปยังราชันทมิฬที่หมอบอยู่ข้างกาย

“คิดมิถึงแม้จะผ่านไปปีกว่าแล้ว เจ้าก็ยังคงไร้ประโยชน์เหมือนเดิม”

เย่ฉางชิงถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นจึงได้เดินจากไป

ราชันทมิฬที่นอนหมอบอยู่บนพื้นหันไปมองด้านหลังของเย่ฉางชิง ดวงตาดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

‘นายท่าน ข้าขอสาบานว่าข้าจะหมั่นบำเพ็ญเพียร จะมิทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน’

ราชันทมิฬลอบสาบานกับตัวเอง พลางฉีกยิ้มออกมา

เมื่อเย่ฉางชิงกลับมาถึงลานด้านหลังร้านอีกครั้ง นักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะก็ได้สติกลับมาทันที ก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“ท่านเย่”

นักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงเอ่ยขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

เย่ฉางชิงที่รู้สึกหดหู่อยู่ภายในใจได้เอ่ยถามทั้งสองคนว่า “ท่านเหอ แม่นางลู่ พวกท่านดื่มสุรากันหรือไม่ ? ”

ลู่อู๋ซวงชะงักไป ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างเขินอาย

ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้พลังจิตหยิบสุราหนึ่งไหออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ พลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านเย่ สุรานี้มีชื่อว่าสุราปราณหิมะ กลั่นจากดอกไม้วิญญาณหิมะที่หายากยิ่งในภูเขาหิมะหมื่นปี ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นทันทีที่ดื่ม จึงเหมาะที่จะดื่มในเวลาเช่นนี้เป็นที่สุดขอรับ”

“หืม ? ”

เย่ฉางชิงเปล่งเสียงขึ้นมาเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที

‘เดิมคิดว่าตาแก่นี่จะเป็นคนขี้งกเสียอีก แต่คิดมิถึงว่าจะนำสุราชั้นเลิศเช่นนี้ออกมาเสนอ’

“ในเมื่อท่านเหอมีสุราดีเช่นนี้ รบกวนพวกท่านรอสักครู่ ข้าขอไปเตรียมกับแกล้มก่อน” เอ่ยจบเย่ฉางชิงก็หมุนตัวเดินเข้าไปในครัว

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

Status: Ongoing
นิยายแปลไทยเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน รายละเอียด เทพแห่งกระบี่ : หากผู้อาวุโสเย่มอบภาพอักษรพู่กันให้ข้าอีกสักภาพ พรุ่งนี้ข้าคงสามารถเปิดประตูสวรรค์ได้แล้ว …… ……เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้มีผู้คนแวะเวียนมาหาไม่แต่ละเว้นวันเช่นนี้นะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท